xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยปี68ย่อต่ำก่อนฟื้นตัว หวังเลือกตั้งใหม่ดึงความเชื่อมั่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2568 เผชิญความผันผวนอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรกจากปัจจัยดอกเบี้ยสหรัฐฯ และเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ที่ฉุดดัชนีทำสถิติต่ำสุดในรอบ 25 ปี ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังด้วยแรงหนุนจากการกลับมาของเม็ดเงินต่างชาติ และความชัดเจนทางการเมืองหลังประกาศยุบสภาเลือกตั้ง และเชื่อแรงหนุนยังต่อเนื่องไปยังปี 2569 ที่คาดว่าจะเป็นโอกาสทองของการสะสมหุ้นคุณค่า ท่ามกลางวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงและการเร่งลงทุนภาครัฐ   โดยมีเป้าหมายดัชนีกลับไปทดสอบ 1,400 จุด






ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งความผันผวนและการปรับตัวของตลาดหุ้นไทย (SET Index) ซึ่งถูกกดดันอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรกจากปัจจัยลบภายนอกประเทศและเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก่อนจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยแรงหนุนจากปัจจัยภายในและการคลี่คลายของความไม่แน่นอนทางการเมือง




 มกราคม: ความกังวลเชิงมหภาค

ปัจจัยเด่น: ตลาดหุ้นไทยเปิดปี 2568 ด้วยความกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งส่งผลให้เงินทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยชุดเดิมยังไม่เห็นผลชัดเจน

เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: หุ้นในกลุ่มพลังงานและโรงกลั่น (เช่น PTTEP, TOP) ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มธนาคาร (เช่น KBANK, BBL) ยังคงแข็งแกร่ง จากแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อ และการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีดิจิทัล
 




กุมภาพันธ์: หุ้นใหญ่ปรับฐาน

ปัจจัยเด่น: แรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Tech Giants) ในตลาดโลกส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในไทย (เช่น DELTA, HANA) ที่เคยปรับตัวขึ้นแรงในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนี SET เข้าสู่ภาวะปรับฐาน

เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: บริษัทในกลุ่มค้าปลีก (เช่น CPALL, HMPRO) รายงานผลประกอบการปี 2567 ที่ต่ำกว่าคาดการณ์เล็กน้อย เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทำให้นักลงทุนปรับลดความคาดหวังลง

**มีนาคม: ภัยพิบัติและแรงเทขาย

ปัจจัยเด่น: ตลาดต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คือ เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ทางภาคเหนือของประเทศ . แม้ความเสียหายทางตรงจะไม่รุนแรงเท่าในต่างประเทศ แต่ก็สร้างแรงกดดันทางจิตวิทยาต่อผู้ลงทุนอย่างมาก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มประกันภัย (เช่น BLA, THRE) และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (เช่น CK, STEC) ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการซ่อมแซม

เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: ณ สิ้นเดือนมีนาคม ดัชนี SET ทำผลตอบแทนได้ต่ำที่สุดในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่ปี 2543


 
เมษายน: การเมืองและเม็ดเงิน ตปท.

ปัจจัยเด่น: เริ่มมีกระแสข่าวการยุบสภาและเตรียมจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดในช่วงปลายปีเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน ส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยบ้าง ด้วยมุมมองที่ว่า "ตลาดได้สะท้อนข่าวร้ายไปมากแล้ว" และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว (เช่น AOT, MINT) กลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากเทศกาลสงกรานต์และการเดินทางระหว่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง


 พฤษภาคม: ความชัดเจนนโยบาย ก.ล.ต.

ปัจจัยเด่น: สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออก แผนยุทธศาสตร์ปี 2568-2570 มุ่งเน้นการยกระดับการกำกับดูแล โดยเฉพาะกรณีผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บจ. นำหุ้นไปวางค้ำประกันและถูกบังคับขาย (Force Sell) ทำให้เกิดแรงกดดันด้านราคาอย่างรุนแรง ซึ่งมาตรการนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนรายย่อยมากขึ้น

เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: บริษัทในกลุ่มโทรคมนาคม (เช่น ADVANC, TRUE) ถูกจับตามองเรื่องการแข่งขันด้านราคา 5G และการขยายโครงข่าย Data Center เพื่อรองรับการเติบโตของ AI โดยมี ADVANC เป็นผู้นำในการขยายฐานลูกค้าองค์กร (Enterprise Business)




 มิถุนายน: การเปลี่ยนแปลงผู้นำองค์กร

ปัจจัยเด่น: ตลาดจับตาการเปลี่ยนแปลงผู้นำขององค์กรสำคัญของประเทศ เช่น การแต่งตั้งผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ซึ่งถูกมองว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงถัดไป
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: หุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (Utilities) เช่น GULF, GPSC ได้รับความสนใจ หลังมีข่าวว่าบริษัทเหล่านี้เดินหน้าเข้าลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการเติบโตในระยะยาว (New S-Curve)
 




กรกฎาคม: การกลับมาของเงินทุน ตปท.

ปัจจัยเด่น: เป็นเดือนแรกที่เงินทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 โดยเป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง และความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้เงินเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงไทย

เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (เช่น KTB, SCB) ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากได้รับผลบวกจากเม็ดเงินต่างชาติที่กลับเข้ามา รวมถึงมีสัญญาณการตั้งสำรองหนี้เสียที่ลดลง




สิงหาคม: การเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้ง

ปัจจัยเด่น: ความชัดเจนทางการเมืองเพิ่มขึ้นหลังมีการประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ตลาดคลายความกังวลและความเสี่ยงทางการเมืองลง ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของช่วงครึ่งปีหลัง
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ (Domestic Consumption) และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น BEM, BTS) ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ จากการคาดการณ์ว่ารัฐบาลใหม่จะอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่


  กันยายน: เทหุ้นค้าปลีกและความกังวลจีน

ปัจจัยเด่น: ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของประเทศจีน ส่งผลให้หุ้นไทยในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและการผลิต (เช่น IVL, KCE) ถูกกดดันอย่างหนัก
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: หุ้นในกลุ่มค้าปลีก (เช่น CRC, MAKRO) เผชิญแรงขายทำกำไรอีกครั้ง หลังนักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นของรัฐบาลอาจไม่สามารถฟื้นกำลังซื้อได้อย่างรวดเร็วเท่าที่ควร






ตุลาคม: แต่งตั้งผู้ว่าฯ ธปท. และ Land Bridge

ปัจจัยเด่น: การแต่งตั้งผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ในช่วงปลายเดือนสร้างความคาดหวังต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ โครงการขนาดใหญ่ "Land Bridge" ถูกนำมาพูดถึงอีกครั้งในฐานะโครงการที่อาจช่วยสร้างความคึกคักให้กับการลงทุนในประเทศในระยะยาว
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ:หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง (เช่น SCC, TASCO) ปรับตัวขึ้นตามกระแสข่าวการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
 


พฤศจิกายน: ตลาดตอบรับยุบสภา-ดบ.ขาลง

ปัจจัยเด่น: รัฐบาลได้ประกาศยุบสภาและเตรียมจัดการเลือกตั้ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นตอบรับเชิงบวกอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นการคลี่คลายความไม่แน่นอนที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ประกอบกับมีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะเริ่มเข้าสู่วัฏจักร การลดอัตราดอกเบี้ย ในต้นปี 2569 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: หุ้นในกลุ่มการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) (เช่น SAWAD, MTC) กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มเข้าสู่ขาลง




 ธันวาคม: การเลือกตั้งและความหวังปีใหม่

ปัจจัยเด่น: ตลาดปิดปีด้วยความหวังและการมองไปข้างหน้า โดยมีปัจจัยสำคัญคือ การเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งสร้างความคาดหวังต่อเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงเข้าซื้อสุทธิเพื่อทำ Window Dressing และเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนในปีถัดไป
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ: GULF ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตา หลังนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ยังครองแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 7 ปีซ้อน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในกลุ่มพลังงานที่ยังคงแข็งแกร่ง


 ความคาดหวังต่อปี2569




ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้หลายคนเชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2569 จะเป็นปีที่ต้องใช้ความอดทนในช่วงต้น แต่จะกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2569 ตลาดหุ้นไทยจะยังคงเผชิญกับปัจจัยกดดันสำคัญจาก ความไม่แน่นอนทางการเมือง ภายในประเทศ แม้จะมีการยุบสภาและมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2568 แต่กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และความชัดเจนของนโยบายสำคัญ อาจยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลและทำให้ตลาดผันผวนได้ จนกว่าจะทราบผลการเลือกตั้งและมีความชัดเจนทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือต้นไตรมาส 2 ปี 2569

นอกจากนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) โดยรวมก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยมีการประมาณการที่ระดับต่ำกว่า 2% เนื่องจากภาคการส่งออกยังคงเผชิญกับแรงกดดันสำคัญจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

ขณะที่ครึ่งปีหลัง การฟื้นตัวจากปัจจัยบวกและการลงทุนภาครัฐการฟื้นตัวจะเริ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจาก การคลี่คลายของปัจจัยทางการเมือง และ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) นอกจากนี้ แนวโน้ม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายปี 2568 จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นเมื่อเทียบกับตลาดพันธบัตร

ทำให้ กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำนักลงทุนจึงควรเน้นการลงทุนแบบเลือกสรร (Selective Buy) โดยในช่วงครึ่งปีแรก ควรเน้นหุ้น Defensive ที่ปลอดภัยและมีปันผลสูง ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง ควรสลับไปลงทุนในหุ้น Cyclical ที่อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายรัฐบาลใหม่ เช่น กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPN) และ กลุ่มท่องเที่ยว (AOT, MINT, CENTEL)
ไม่เพียงเท่านี้ นักวิเคราะห์บางส่วนยังมองว่า ปี2569 จะเป็นปีแห่งโอกาสในการเก็บสะสมหุ้นคุณค่าและกระแส New Economy มุมมองนี้ชี้ว่าแม้การเติบโตของตลาดหุ้นไทยโดยรวมจะช้า แต่ราคาที่ปรับฐานลงมามากทำให้เกิดโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นคุณค่า (Value Stock) ที่น่าสนใจ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกระแสการลงทุนในเศรษฐกิจใหม่ (New Economy)

นั่นเพราะ SET Index อยู่ในระดับที่น่าสนใจในภาวะ Laggard ทำให้นักวิเคราะห์บางสำนักมองว่า ปี 2569 เป็น จังหวะที่เหมาะสมในการเข้าซื้อ เนื่องจากตลาดได้ปรับฐานลงมามากในช่วงปี 2568 จนทำให้มูลค่า (Valuation) อยู่ในระดับที่น่าดึงดูดใจ และมองว่าดัชนี SET Index มีกรอบการเคลื่อนไหวที่สามารถขึ้นไปทดสอบระดับ 1,400 จุด ได้




 โดยมีปัจจัยหนุนหลักคือแนวโน้ม เงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย หลังจากที่เงินทุนไหลออกไปสูงมากในปี 2566-2568 การกลับมาของ Fund Flow นี้จะส่งผลบวกโดยตรงต่อสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวม
กำลังโหลดความคิดเห็น