xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 31.10-แนวโน้มการแข็งค่าอาจชะลอตัว-ผู้ตลาดรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(25ธ.ค.68)ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.02 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.00-31.20 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในกรอบ 31.01-31.13 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยรีบาวด์สูงขึ้นของเงินดอลลาร์ สอดคล้องกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่องของตลาดการเงินสหรัฐฯ อีกทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดหุ้นยุโรป

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรายงานข้อมูล ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ของสหรัฐฯ ล่าสุด ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.14 แสนราย ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ราว 1 หมื่นราย ซึ่งภาวะเปิดรับความเสี่ยงดังกล่าวของตลาดการเงินสหรัฐฯ กอปรกับการทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง เพิ่มแรงกดดันต่อเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports and Imports) เดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 9.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ส่วนในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียวในเดือนธันวาคม ข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่น ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนพฤศจิกายน

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) จะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 หลังโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่ ทว่า ในช่วงระยะสั้นนี้ (จนถึงสิ้นปี 2025) การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอตัวลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อีกทั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงหยุดยาวทำให้ปริมาณธุรกรรมในตลาดการเงินเบาบาง ทว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวัง ว่า เงินบาทเสี่ยงเคลื่อนไหว Two-way Risk หรือพร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง ได้พอสมควร หามีโฟลว์ธุรกรรมด้านใดด้านหนึ่งเข้ามากระทบตลาด โดยเฉพาะในช่วงวันทำการสุดท้ายของตลาดการเงินไทย

เรายอมรับว่า เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมากกว่าที่เราประเมินไว้ หลังราคาทองคำมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่ สวนทางกับที่เราประเมินไว้ โดยเรามองว่า เงินบาทก็อาจจบสิ้นปีนี้แถว 31.00+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนในภาพของปี 2026 นั้น เราคงมุมมองเดิมต่อ “แนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินบาท” โดยเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้างในช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 ก่อนที่จะทยอยอ่อนค่าลงและอาจอ่อนค่าสุดในรอบปีในช่วงไตรมาส 2-3 และจะกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงไตรมาสที่ 4 ไม่ต่างจากภาพในปี 2025 นี้ โดยเงินบาทก็อาจจบสิ้นปีแถวโซน 32.00+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ (ซึ่งเราอาจปรับคาดการณ์เงินบาท ณ สิ้นปี 2026 ใหม่ ให้แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากคาดการณ์เดิม)

ในเชิงเทคนิคัลนั้น เรามองว่า หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์)

อนึ่ง เราขอเน้นย้ำว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก 2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่ นอกจากนี้ หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy) และ 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)
กำลังโหลดความคิดเห็น