ไพน์ เวลท์โชว์AUA 1.8 หมื่นล้าน ตั้งเป้าทะลุ 1 แสนล้าน ปีหน้าเร่งเครื่องAUAแตะ 3 หมื่นล้าน ดันรายได้โต 35% กำไรพุ่ง 40–45% ชู AI วิเคราะห์ลงทุนเต็มรูปแบบปีหน้า พร้อมขยายทัพที่ปรึกษา Private Wealth เท่าตัวเป็น 22 คน และเครือข่ายที่ปรึกษาอิสระกว่า 200 คน เดินเกม One-Stop Financial Service บนโมเดล Open Architecture จัดพอร์ตแบบเฉพาะบุคคล พร้อมเล็งเพิ่มความหลากหลายงัดStructured Note ตอบโจทย์นักลงทุนช่วงตลาดผันผวน ระบุหุ้นปีหน้าไปต่อ เน้นช่วยลูกค้า“คุมความเสี่ยง-ผลตอบแทนสม่ำเสมอ”รับผันผวน พร้อมแนะจัดพอร์ต“Core–Satellite”โยกลงทุนยุโรป-ญี่ปุ่นลดความเสี่ยงตลาดUS
นายพงศกร พูนพิเชฐธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยว่า สินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (AUA) ของปี 68 อยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าAUAแตะ 100,000 ล้านบาทในระยะถัดไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในปีหน้า2569 AUA ของบริษัทน่าจะปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 30,000 ล้านบาท และมีรายได้เติบโตทีขึ้นอีก35% ส่งผลให้อัตราการเติบโตกำไรที่ 40-45% จากปี2568
สำหรับปีนี้แผนการขยายทีมที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล (Private Wealth) ควบคู่ไปกับแผนการ Upselling ผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย โดยทางบล.ไพน์ เวลท์ ยังคงทำหน้าที่ให้คำปรึกษาออกแบบกลยุทธ์การลงทุนเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้าแต่ละรายตามวัตถุประสงค์การลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Personalize Portfolio Management)เป็นหลัก ส่วนปีหน้า บริษัทฯมีแผนเพิ่มทีมที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล (RM) เพิ่มเป็น22 คนจากปัจจุบันมี11คน ขณะที่ตัวแทนที่ปรึกษาลงทุนอิสระปัจจุบันมีมากถึง200คน
“เรายังคงแนวคิด One-Stop Financial Service ให้กับนักลงทุน โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล (Private Wealth) เพื่อช่วยแนะนำการลงทุนให้เหมาะกับนักลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจแบบ Asset Allocation บนโมเดล Open Architecture ในการลงทุนระยะกลางถึงยาว ร่วมกับการลงทุนแบบจับจังหวะตลาดให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนของลูกค้า“” นายพงศกร กล่าว
นอกจากนี้ในแง่ของการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนด้วยผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย บล. ไพน์ เวลท์ ได้ร่วมมือกับ บลจ. พันธมิตร เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่Structured Note ในช่วงไตรมาส 1/2569 ซึ่งออกแบบมาเพื่อจับจังหวะตลาด (Capture Moment) และสร้างโอกาสทำกำไรให้กับลูกค้าได้ในทุกสภาวะ แม้ในช่วงตลาดขาลง
ไพน์ เวลท์” เร่งเครื่อง AI วิเคราะห์ลงทุน Multi-Asset เต็มรูปแบบปีหน้า
นายพงศกร กล่าวอีกว่า ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา บล.ไพน์ เวลท์ ได้พัฒนาตนเองผ่านเทคโนโลยี AI เราเริ่มต้นจากการพัฒนา โปรแกรม AI-Powered Multi-Asset Investment Intelligence เป็นการพัฒนาระบบภายในควบคู่ไปกับทีมกลยุทธ์การลงทุนของเรา โปรแกรมนี้ นำเสนอทั้งด้าน Technical & Fundamental Outlook ที่ผ่านมาผมเลือกนำร่องโปรแกรมนี้ สำหรับที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล (Private Wealth) ของเราก่อน และคาดว่าภายในปีหน้า บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จะนำเทคโนโลยี ด้าน AI เข้ามา Full Systemภายในบริษัท เพื่อเป็นเครื่องมือพิเศษที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมที่ปรึกษาทางการเงิน (Private Wealth) ของบริษัทในการดูแล ให้บริการและให้คำแนะนำแก่ลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของบริษัท คือ การช่วยให้ลูกค้ามีเวลาเพื่อไปใช้กับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ธุรกิจ หรือสุขภาพของลูกค้าเองให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความั่งคั่งและมั่นคงทางการเงินอีกต่อไป (Secure Your Wealth, Liberate Your Time)
โฟกัส “คุมความเสี่ยง-ผลตอบแทนสม่ำเสมอ”รับผันผวน ชี้หุ้นไปต่อแต่ไม่ร้อนแรง
นายปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยถึงมุมมองการลงทุนว่า ภาพการลงทุนของปี2569 เป็นช่วงเวลาที่มีความท้าทายสูงหลังการปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงของตลาดหุ้นทั่วโลกตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ตามกระแสการลงทุนและพัฒนา AI รวมถึงดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นขาลงซึ่งหากจะให้อธิบายฉากทัศน์การลงทุนด้วยประโยคหนึ่งที่สามารถอธิบายประเด็นนี้อย่างครบถ้วนคือ “Normalization After the AI Hype and Rate Easing” โดยตลาดหุ้นทั่วโลกในปี2026 แม้จะยังอยู่บนแนวโน้มขาขึ้นแต่การปรับตัวขึ้นต่ออาจเป็นการแกว่งตัวในกรอบหรือปรับตัวขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยบวกไปค่อนข้างมากแล้วในขณะที่ระดับการประเมินมูลค่ามีความตึงตัว
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นในปีหน้ายังมีแนวโน้มที่รักษาทิศทางขาขึ้นได้ต่อ แต่การปรับตัวขึ้นอาจไม่ร้อนแรงเหมือนในช่วงที่ผ่านมา และมีโอกาสสูงที่จะไม่กระจุกตัวอยู่เพียงแค่ในสหรัฐฯ - กลุ่มเทคโนโลยีเหมือนเดิม นักลงทุนเริ่มมองหาตลาดหุ้น-สินทรัพย์การลงทุนอื่นๆ ที่เป็นทางเลือกมากขึ้น ในมุมมองของ Pine Wealth Solution การลงทุนในหุ้นควรพิจารณากระจายการลงทุนมายังภูมิภาคเอเชียและกลุ่ม Emerging Market ซึ่งมีระดับของ Valuation ที่ถูกกว่าโดยเปรียบเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ
ส่วนหุ้นในกลุ่มตลาดประเทศพัฒนาแล้วอาจพิจารณากระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว แต่มีระดับราคาที่ถูกกว่าเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กับสภาวะตลาดต่ำถือเป็นอีกทางเลือกที่เหมาะกับการกระจายการลงทุนในปัจจุบัน
“ในปีหน้าสิ่งที่เราให้ความสำคัญคือการบริหารความเสี่ยง และการสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอในทุกสภาวะตลาดท่ามกลางความผัวผวนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นหา "Alpha" ในการลงทุนจากหุ้นเติบโตสูงเนื่องจาก Valuation หุ้นสหรัฐขึ้นไปทำให้ราคาแพงไปแล้ว โดยหุ้นสหรัฐขึ้นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ผลตอบแทนเกิน 40% ทั้ง Nasdaq และ S&P500 จึงเห็นว่าในปีนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอาจไม่ร้อนแรงเหมือนปี 68 โดยแนะนำให้ลดสัดส่วนลงแล้วหันมาลงทุนหุ้น defensive อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่ม Healthcare กลุ่ม Industrial หรือถ้าเป็นรายประเทศ แนะเข้าตลาดหุ้นยุโรป เอเชีย หรือหากเป็นหุ้นไทยเน้นหุ้นปันผลสูง“นายปิยะทัศน์
ไพน์ เวลท์ แนะจัดพอร์ต“Core–Satellite”โยกลงทุนยุโรป-ญี่ปุ่น
นายปิยะทัศน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการจัดพอร์ตการลงทุนในปีหน้าบริษัทแนะนำการลงทุนในรูปแบบCore–Satellite Portfolio โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางแนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนในหุ้นเป็นหุ้น 60% ตราสารหนี้ 30% และ commodity (อาทิ ทอง) 10%
สำหรับพอร์ตการลงทุนหุ้นควรกระจายการลงทุนแบ่งเป็น หุ้นโลก 20% หุ้นสหรัฐ เป็น Non-Tech อาทิ Finance ไม่เกิน 10% Healthcare ไม่เกิน 10% หุ้นกลุ่มประเทศพัฒนา(DM)ควรลดน้ำลงทุนในสหรัฐและหันมาลงทุนใน ยุโรปและญี่ปุ่น สัดส่วน 10% หุ้นกลุ่มประเทศ Emerging Market (EM) 10%
ส่วนการลงทุนตราสารหนี้ แบ่งเป็น ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% ตราสารหนี้ไทย 10%
นายปิยะทัศน์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มหุ้นไทยในปี 69 มีความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยให้เป้าดัชนี SET ที่ 1,300-1,320 จุด จากเดิม 1,350 จุด และมีแนวรับที่ 1,100 1,120 จุด ทั้งนี้มองว่า รัฐบาลใหม่น่าจะเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งอาจจะไม่มีเสถียรภาพ และหากมีการเลื่อนตั้งออกไปจากเดิมตลาดจะปรับตัวลงได้เร็วกว่าที่คาด เพราะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าจะทำให้งบประมาณปี 70 ล่าช้าไปด้วย ซึ่งอาจจะกระทบกับความมั่นใจของนักลงทุนและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า