ประเทศไทยมีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ( Aviation Hub) นอกจากการพัฒนาสนามบินให้มีศักยภาพรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้นแล้ว การบริหารจัดการจราจรทางอากาศ ก็เป็นหัวใจสำคัญที่จะสนับสนุนการเดินทางทางอากาศ โดยมีบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ทำหน้าที่ให้บริการควบคุมจราจรทางอากาศ (Air Traffic Service) ซึ่งได้พัฒนาและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินด้วยความปลอดภัยและรวดเร็ว
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ ประธานกรรมการ วิทยุการบินฯ กล่าวว่า สถิติปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศ ของปีงบประมาณ 2568 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 – กันยายน 2568 มีรวม 458,561 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ย 1,256 เที่ยวบิน/วัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ซึ่งไม่เพียงแต่การขยายศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้น แต่ วิทยุการบินฯ จะต้องเร่งนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารการจราจรทางอากาศ เพื่อให้การรองรับปริมาณเที่ยวบินมีประสิทธิภาพและมีความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยตามมาตรฐานสากลด้วย
@ศึกษาโมเดล”อินชอน” benchmark ”สุวรรณภูมิ”
นายสุรชัย หนูพรหม รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ รักษาการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท.กล่าวว่า สนามบินอินชอนและสนามบินสุวรรณภูมิ มีการออกแบบที่ใกล้เคียงกันมาก ทั้งด้านกายภาพ และฟังก์ชั่นต่างๆ บวท.จึงได้ศึกษาแนวทางเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินจากสนามบินอินชอน ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารการจราจรทางอากาศและภาคพื้นอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ปัจจุบันสนามบินอินชอน มีทางวิ่ง (รันเวย์) 4 เส้น ส่วนสนามบินสุวรรณภูมิ ยังมีรันเวย์ 3 เส้น ซึ่งรันเวย์ที่ 4 จะมีการก่อสร้างในอนาคต ดังนั้น การบริหารการจราจรทางอากาศและภาคพื้น และเตรียมความพร้อมในช่วงเปลี่ยนผ่านจากที่มี 3 รันเวย์ไปเป็น 4 รันเวย์ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) จะต้องมีการจัดทำแผนงานในเรื่องความปลอดภัยในทุกมิติ
สนามบินอินชอน ได้มีการนำระบบติดตามอากาศยาน A-SMGCS (Advanced Surface Movement Guidance and Control System) ซึ่งเป็นระบบนําทางและควบคุมการเคลื่อนที่ของอากาศยาน และยานพาหนะภาคพื้นที่ทันสมัยมาใช้ จากระบบเดิมที่การนำทางภาคพื้นและการควบคุมอากาศยานขึ้นอยู่กับการสื่อสารระหว่างหอบังคับการกับนักบินเป็นหลัก ทำให้มีความสะดวกรวดเร็วและเพิ่มความปลอดภัย และยังเพิ่มขีดความสามารถการรองรับของรันเวย์ได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบัน สนามบินอินชอนใช้งานระบบ A-SMGCS ใน Level 4 ซึ่งสูงสุดในภูมิภาคนี้แล้ว
@ประสานทอท.เร่งลงทุนปรับปรุงระบบไฟรันเวย์-แท็กซี่เวย์
นายสุรชัยกล่าวว่า ในส่วนของ บวท.นั้น ขณะนี้กำลังเร่งศึกษาแนวทางการนำเทคโนโลยี Follow The Green นำมาใช้งานที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการขับเคลื่อนอากาศยานขณะที่อยู่บนภาคพื้น โดยใช้ไฟสีเขียวบนทางขับ (แท็กซี่เวย์) ช่วยนำร่อง ชี้นำเส้นทางได้อย่างแม่นยำก่อน ซึ่งจะต้องบูรณาการทำงานร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท.ที่จะต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบไฟของรันเวย์ทั้งหมด ซึ่งทอท.เตรียมลงนามสัญญากับผู้รับจ้าง รวมถึง ร่วมกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท. (CAAT) เพื่อให้การนำ Follow The Green มาใช้งานและสอดคล้องกับมาตรฐานของ ICAO
@ลดเวลาเข้าสู่หลุมจอด / รันเวย์-ลดข้อผิดพลาด-ลดภาระงานเจ้าหน้าที่ ATC
“การทำงานของระบบ Follow The Green จะใช้ไฟสีเขียวบนพื้นทางขับ เป็น “ไฟนำทางอัจฉริยะ” ตามคำสั่งจากหอควบคุมการจราจรทางอากาศ โดยเชื่อมโยงกับระบบติดตามอากาศยานภาคพื้น ประกอบด้วย ระบบ Surface Movement Radar (SMR) และระบบ Multilateration (MLAT) รวมกับแผนการบิน (Flight plan) ซึ่งจะแสดงผลเป้าอากาศยานภาคพื้นสนามบินได้แบบเรียลไทม์ (real time) และคำนวณหาเส้นทางที่ดีที่สุด โดยเมื่อเชื่อมต่อกับระบบไฟสีเขียวบนพื้นทางขับ ก็จะสามารถส่งสัญญาณไปเปิด/ปิดไฟนำทางได้อัตโนมัติ นำทางอากาศยานขาเข้าจากทางวิ่งไปยังหลุมจอด และนำทางอากาศยานขาออกจากหลุมจอดไปยังทางวิ่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาดจากการสื่อสาร และเกิดความปลอดภัยสูงสุดอีกด้วย”
และในขณะเดียวกัน บวท.ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบติดตามอากาศยาน A-SMGCS จาก Level 2 สู่ Level 4 ซึ่งจะช่วยให้นักบินสามารถเคลื่อนที่ไปยังจุดขึ้น–ลงหรือจุดจอดได้อย่างแม่นยำ โดยใช้ไฟนำทางแทนการติดต่อสื่อสารด้วยเสียง รวมทั้งได้พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านควบคุมจราจรทางอากาศและวิศวกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การใช้งานจริง และปรับปรุงวิธีปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจุบันสุวรรณภูมิ มี 3 รันเวย์ รองรับได้รันเวย์ละ 30 เที่ยว/ชั่วโมง รวมทั้ง 3 รันเวย์ รองรับได้ประมาณ 83 เที่ยวบิน/ชั่วโมง ซึ่งตามแผนของสุวรรณภูมิจะขยายไปสูงสุดที่ 94 เที่ยวบิน/ชั่วโมง และเมื่อมี 4 รันเวย์จะสามารถรองรับเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเป็น 134 เที่ยวบิน/ชั่วโมง ส่วนสนามบินอินชอนรองรับได้เฉลี่ย 25 เที่ยวบิน/ชั่วโมง/ทางวิ่ง โดย 4 รันเวย์ปัจจุบันรองรับได้ 107 เที่ยวบิน/ชั่วโมง
“จะเห็นได้ว่า โดยรวมของสนามบินสุวรรณภูมิรับได้มากกว่า เนื่องจากการบริหารห้วงอากาศสามารถทำได้มากกว่าสนามบินอินชอนที่มีข้อจำกัดทางห้วงอากาศด้านทิศเหนือ ของประเทศเกาหลีใต้ ดังนั้นหาก บวท.นำระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัยนำไปปรับใช้ จะเพิ่มขีดความสามารถของรันเวย์ในการรองรับเที่ยวบินเพิ่มแน่นอน สิ่งสำคัญจะมีความปลอดภัยมากขึ้นไปด้วย”
@ทำความรู้จัก” Follow the Green”ระบบนำทางอัตโนมัติ
นางสาวจรัญญา สิริปาณี ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศเขตสนามบินกรุงเทพ บวท. กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังอยู่ระหว่างการฟื้นฟู หลังเกิดโควิด -19 ซึ่งมีปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศใกล้เคียง ทั้งสิงคโปร์ เกาหลีใต้ มีการยกระดับเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้งานเพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการที่ประเทศไทยมีเป้าหมายในการเป็น Aviation Hub และรองรับปริมาณการเดินทางท่องเที่ยวจึงต้องพัฒนาศักยภาพให้เทียบเท่ากับมาตรฐานโลก
การนำระบบ Follow the Green เข้าใช้งาน ที่สนามบินสุวรรณภูมิมาใช้งานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยเทียบเคียงกับสนามบินอินชอน ซึ่งเป็นสนามบินชั้นนำแห่งหนึ่งของโลก ที่มีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้งานในการบริหารการจัดการเพื่อความปลอดภัยและรวดเร็ว และลดความผิดพลาด
แนวทางการใช้เทคโนโลยี “Follow The Green” ของสนามบินอินชอน มีการวางกลยยุทธ์แผนงานล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ นับจากก่อสร้างสนามบินเมื่อปี คศ. 2001 (ก่อนสนามบินสุวรรณภูมิ 5 ปี) โดยเริ่มต้นด้วยที่ทางวิ่ง 2 เส้น ต่อมาในปี ค.ศ.2008 มีการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 และเป็นจุดเริ่มต้น ในการวางแผนนำเทคโนโลยี “Follow The Green มาใช้งาน โดยเมื่อปี ค.ศ. 2021 สนามบินอินชอนก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 และได้มีการนำระบบ Follow The Green เข้าใช้งาน เมื่อเดือนส.ค. ปี 2025 และเมื่อมีรันเวย์4 เส้น ทางสนามบินอินชอนได้มีแผนการปรับปรุงทางวิ่งเดิม เพื่อให้มีสภาพที่แข็งแรงทันที เพื่อรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
“Follow The Green” เป็นการบริหารจัดการเทคโนโลยีชั้นสูง เป็นระบบนำทางอากาศยานบนภาคพื้น โดยใช้ไฟแท็กซี่เวย์ Taxiway Centerline แสดงเส้นทางผ่านระบบไฟเพื่อนำทางอากาศยานขาเข้าไปยังหลุมจอด และอากาศยานขาออกไปยังทางวิ่งเพื่อวิ่งขึ้น แปลง่ายๆ คือระบบไฟสีเขียว เมื่อเครื่องบินลงสู่ภาคพื้น ระบบไฟจะนำเครื่องบินไปสู่หลุมจอดได้อย่างรวดเร็วและแม่นำยำ แทนที่นักบินจะรับฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่หอการบิน ที่อาจจะมีคำแนะนำที่ซับซ้อน ก็เปลี่ยนมาเป็นการพูดแค่ว่า “Follow The Green” ซึ่งระบบนี้จะเป็นไฟสีเขียวตามแนวแท็กซี่เวย์ ที่จะให้เครื่องบินเข้าสู่หลุมจอดได้อย่างปลอดภัย โดยจะหยุดเมื่อมีไฟแดง
“Follow The Green ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนที่ของอากาศยานในพื้นที่สนามบิน เพิ่มความปลอดภัย และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจร มีประโยชน์อย่างยิ่งในสภาพอากาศที่ทัศนวิสัยต่ำและสนามบินที่มีการจราจรหนาแน่น โดยช่วยลดการพึ่งพาการสื่อสารทางวิทยุระหว่างนักบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ”
การใช้งานที่สนามบินอินชอน พบว่า ระบบ Follow The Green ลดความผิดพลาดระหว่างเจ้าหน้าที่ ATC และนักบินได้ถึง 70% ช่วยลดระยะเวลาในการแท็กซี่รวมถึงลดการปล่อยคอร์บอนระบบ “Follow The Green” มีชื่อเป็นทางการว่า A-SMGCS กรอบแนวทางการใช้งานในมาตรฐานโลก แบ่งเป็น 4 ระดับ
-Level 1 (Enhanced Surveillance) ระบบติดตามอากาศยาน อย่างน้อย เจ้าหน้าที่ ATC ต้องเห็นอากาศยาน
-Level 2 (Control) ระบบจะทราบแผนเส้นทางของอากาศยานแต่ละลำล่วงหน้าและมีการ แจ้งเตือนความปลอดภัย ในกรณีที่อากาศยานรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม
-Level 3 (Planning & Routing) ระบบจะสามารถวางแผนและออกแบบเส้นทางโดยอัตโนมัติสำหรับอากาศยานแต่ละลำ รวมถึงจะสามารถตรวจพบการ Conflict ของเครื่องบินหรือยานพาหนะที่เกี่ยวข้อง แต่ละลำที่อยู่บนภาคพื้นและวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาและสามารถเคลื่อนตัวไปสู่เป้าหมายได้อย่างปลอดภัย
-Level 4 (Guidance) เมื่อระบบสามารถคำนวนเส้นทางได้อย่างแม่นยำแล้ว ต้องมีการเปิดฟิดไปนำทาง นั่นคือ Follow The Green
ในส่วนบวท.ที่ผ่านมาได้ลงทุน ระบบ TopSky Tower เป็นระบบประมวลผลข้อมูลการบินที่ ใช้ในงานควบคุมจราจรทางอากาศบริเวณสนามบิน โดยจะแสดงข้อมูลตำแหน่งอากาศยานและยานพาหนะ รวมถึงข้อมูลแผนการบินของเที่ยวบินที่ทำการบินขึ้น-ลง ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ถือเป็นหัวใจของระบบ A-SMGCS ซึ่งปัจจุบันระบบ TopSky ของบวท.มีขีดความสามารถอยู่ในระดับที่ 2 โดยสามารถติดตามอากาศยานและแจ้งเตือนความปลอดภัยให้เที่ยวบิน และระบบนี้จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องเชื่อมโยง Guidance ใน Level 4 ที่ระบบสามารถเปิดปิดไปได้ ซึ่งก็จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจาก ทอท.ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของทางวิ่ง ทางขับ ปรับปรุงระบบควบคุมโคมไฟ Taxiway จากการเปิด-ปิดทั้งวงจร ให้สามารถควบคุมแยกเป็นรายดวงได้ ให้บวท.สามารถควบคุมการเปิดปิด Stop Bar ได้โดยอัตโนมัติ เต็มประสิทธิภาพซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2570-2571