xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) การันตีคืนทุนบวกกำไรตั้งแต่เริ่มขาย! กุยช่ายสูตรอาม่าพลิกชีวิตแฟชั่นนิสต้าตัวตึงสู่เถ้าแก่แฟรนไชส์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“ที่มาก็มาจากคำพูดอาม่าเลยว่า ‘ถ้าลื๊อจะขายของลื๊ออย่าหวงของ’ ก็จากตอนนั้นที่เงินทุน 2 หมื่นบาทก็พอเราทำออนไลน์ได้ถึงจุดหนึ่ง หนูก็จดทะเบียนบริษัทก็ 2 ล้านใช่ไหม แล้วก็ยอดขายจากออนไลน์เริ่มต้นจากเดือนละแสนตอนนี้ก็ประมาณ 5-6 ล้าน/ด.


ก็ค่อย ๆ ขยับ และก็ลงทุนไปเยอะอยู่ค่ะ ลงทุนในการเติบโต ซึ่งมันก็ไม่ง่ายเลย ในช่วงระยะเวลาจากหลังโควิดฯ มานี้ที่เริ่มทำเป็นในรูปแบบของ ‘แฟรนไชส์’ ด้วย ปีนี้ก็เป็นปีที่ 2 หลังจากโควิดฯ” กมลชนก มานะแก้ว หรือคุณว่านน้ำ เจ้าของแบรนด์ “กุยช่ายสวรรค์” และแฟรนไชส์ในเครือของบริษัท ขุมทรัพย์เมืองนนท์ จำกัด อีกหนึ่งธุรกิจที่เกิดมาในยุคโควิด-19 ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านวงจรชีวิตของธุรกิจที่เรียกว่าขาขึ้นสุด ๆ มาแล้วจนกระทั่งมาถึงจุดที่หลายคนก็คงเจอมาแล้วกับสภาวะ “ทรง ๆ” คือจะไปต่อหรือว่าพอแค่นี้? มีหลายคนที่ยอมถอดใจ แต่ว่าสำหรับ “เจ๊ว่าน” คนใจใหญ่อดีตตัวตึงทางสายแฟชั่นเสื้อผ้าแม่ค้าออนไลน์(เก่า)อยู่แล้ว มีหรือจะยอมถอยง่าย ๆ!!!“ช่วงโควิดฯ ล็อคดาวน์ มันก็จะปังมากเพราะคนซื้อแต่ของออนไลน์ใช่ไหมคะแต่พอคนเริ่มผ่อนปรนให้ออกมาข้างนอกได้ ยอดขายมันก็เริ่มตกแล้วมันก็ตกลงมา จนถึงจุดที่แบบ stable อยู่อย่างนี้ มันก็ไม่ดีขึ้นไปกว่าเดิม แล้วเราจะเอาแบบนี้ไหม? หรือว่าเราจะไปต่อ...ดี?”


จากแฟชั่นนิสตัวตึงสู่แม่ค้าออนไลน์ ชีวิตต้องไปต่อ! เริ่มขายจาก Repacking ก่อน
ก็ตอนแรกเดิมทีเลยค่ะ เติบโตมากับวงการแฟชั่นเป็น “แฟชั่นดีไซเนอร์” ออกแบบเสื้อผ้า ก็อยู่ในวงการนั้นมาประมาณ 3-4 ปีทำ “แบรนด์” เสื้อผ้าของตัวเอง“ด้วย Passion เลยค่ะ ด้วยความรัก ความแบบบ้า! ความแบบว่าสีสันฉูดฉาด! อะไรอย่างเงี้ยค่ะ วันนี้ที่ใส่คือเบาลงมาแล้ว (หัวเราะ)” ก็เป็นดีไซเนอร์มาก่อนค่ะแล้วก็ ช่วงโควิดฯ ที่ทำให้เสื้อผ้าบ้า ๆ บอ ๆ แบบสไตล์ที่หนูทำเนี่ยมันขายไม่ได้ ก็เลยแบบมานั่งคิดกับแฟน(สามี) ว่าเราจะทำยังไงดี? ที่ทำให้ชีวิตมันไปต่อกันได้และกำลังจะมี “ลูก” หนูตัดสินใจกับแฟนว่าถ้าอย่างงั้น เราคงต้องไปทำธุรกิจที่มันขายได้ในช่วงนี้“ถ้าจุดแข็งที่เรามี ก็คือเราเคยขายออนไลน์มาแล้วด้วยกับเสื้อผ้า แบรนด์เสื้อผ้าของเรา แล้วถ้าอย่างนั้นเราลองไปดูซิว่าตอนนี้อะไรที่ขายได้ก็คือ‘อาหาร’ หนูแทนที่ท้องอยู่นะคะก็ขี่มอไซค์แฟน ซ้อนกันไป ไปดูตามตลาดต่าง ๆ ว่าเอ้ยคนเขาเป็นยังไงกันบ้าง เขาขายอะไรกันอยู่ อะไรขายดี อะไรขายได้ไม่ได้อย่างเงี้ย”หนูก็ไปเจอว่าแบบจริง ๆ ตอนนั้นไม่มีที่ไหนขายได้เลย ป้า ๆ ที่ตลาดเขาก็บ่นเครียดกันเขาบอก หนูก็คิด แต่ถ้าเขาขายไม่ได้คือเขาขายที่ตลาดไม่ได้ไง แต่เราน่ะขาย “ออนไลน์” เป็น หนูก็เลยตัดสินใจแบบไปคุยกับเขาเลยว่า เออป้า ๆ ลุง ๆ ถ้าขายไม่ได้ป้าส่งให้หนูได้ไหม เดี๋ยวหนูแพคเกจจิ้ง/รีแพ็คเองแล้วหนูขายออนไลน์เอง


“ตอนนั้นก็เลยมีจุดยืนว่า ถ้าอย่างนั้นเราทำเป็นแบรนด์‘ของดีเมืองนนท์’ ดีกว่า ก็เลยตั้งชื่อบริษัทว่าเป็นขุมทรัพย์เมืองนนท์จนถึงปัจจุบัน”ก็เป็นพวกขนมไข่(ของเจ้าดังเลย) ตอนแรกก็มีเจ้าเล็กเจ้าน้อยหนูก็มาหยิบจับทำขาย แล้วพอทำไปทำมามันก็พอได้นะมันก็ เริ่มเห็นความเป็นไปได้“เอ๊ะมันมีอะไรให้เราขายได้อีก? ที่บ้านเราจริง ๆ ก็มีสูตรขนมกุยช่ายอยู่นี่นา เอ๊ะทำไมเราไม่เอามาต่อยอด หนูก็ไม่เคยคิดว่า แล้วขนมกุยช่ายมันจะขายออนไลน์ได้ยังไง เพราะว่าทุกวันนี้ที่ทำ ทำเช้าก็ต้องขายให้หมดบ่าย ไม่งั้นมันก็เสีย ว่านก็เลยแบบว่าเอ๊ะงั้นลองไปคุยดูซิว่าสูตรมันเป็นยังไง แล้วทำยังไงได้บ้าง”หนูก็เลยเริ่มต้นเข้าไปดู “สูตร” กับที่บ้าน เราก็เห็นเลยว่าอ้อพอมันเป็นขนมกุยช่ายแบบสี่เหลี่ยมเหมือนที่เขาขายตามตลาด ไหนลองเอามาทำเป็น “ซีล” แบบสุญญากาศดู ก็เลยพอมาลองทำ เฮ้ย! ดูดีเหมือนกันเนาะ ทำไมมันดูแบบดูแปลกใหม่จัง ก็เลยลองทำการตลาดทางออนไลน์ดู“พอทำปุ๊บเฮ้ย! คนเข้ามาสั่งกันเยอะมาก หนูจำได้ ตอนวันปีใหม่ช่วงแบบโควิดฯ คือตอนนั้นตลาดเริ่มกลับมาให้เขาเริ่มจัดได้หนูยังไปเอาเสื้อผ้าที่เรามีไปขายอยู่เลยนะที่เซ็นทรัลเวิลด์ แต่ตอนนั้นที่เราไปขาย หนูนะไม่ได้ดูหน้าร้านเลยหนูนั่งไล่ตอบแชทที่ลูกค้าสั่งกุยช่าย คือแบบเฮ้ย! ทำไมมันอะไรกันขนาดนั้นวะ หนูก็เลยบอกแฟนว่าเฮ้ยมันต้องโฟกัสแล้วถ้าอย่างนั้น” ก็เลยสร้างทีมแบบเริ่มมีทีมแอดมินเริ่มมีอะไรอย่างเงี้ย แล้วก็รับลูกค้า เราก็ค่อย ๆ ทำมาเรื่อย ๆ โควิดฯ มัน 3 ปีใช่ไหม ก็อีก 2 ปีเต็มข้างหลังมาหนูก็โฟกัสกุยช่ายเลย

แบบเฟร็นซ์ฟรายส์


กุยช่ายตลาดพลูสูตรของ “อาม่า” จัดเต็มไม่กั๊กไส้! ผักจากไร่ปลอดสาร
คือจริง ๆ ที่มั่นใจก็เพราะว่าหนูก็โตมากับขนมกุยช่ายนะคะ คืออาม่าหนูแกเป็นคนตรอกโรงเจ ตลาดพลู แกก็ขายกุยช่ายทอดเป็นรถเข็นอยู่ข้างตรอกโรงเจ เราก็รู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว แล้วก็ป้าก็มาทำกันก็ยังเป็นสไตล์รถเข็นอยู่ เราไม่เคยไปช่วยเหลือเพราะตอนนั้นเราเด็กด้วย แต่พอมาคิดอีกที.. ถ้าเราไม่ทำเป็นรถเข็นแล้วเราทำให้มันเป็น Branding มันจะเป็นไปได้ไหม?“เริ่มได้รับฟีดแบ็คว่าโอ้โหอร่อย! แบบนี้ไม่เคยกินแบบนี้เลยทำไมมัน ผักเยอะมาก! อะไรเงี้ยค่ะ ผัก แล้วอาม่าแกจะพูดมาคำหนึ่งตอน คืออาม่าแกพูดว่า คือถ้าลื๊อจะขายของ ลื๊ออย่าหวงของ หนูก็เลยมานั่งคิดเอาคำนั้นมานั่งคิดต่อยอด”อ๋อถ้ากุยช่ายคนเขาอยาก ไม่ได้อยากกินแป้งแต่เขาอยากกิน “ผัก”เขาอยากกินผักกรอบ ๆ อร่อย ๆ อะไรอย่างเงี้ย หนูก็เลยถ้าเกิดผักจะให้ดีเราต้องทำยังไง?


หนูก็ขับรถไปกับแฟนตอนนั้นเริ่มมีรถแล้ว (จากตอนแรกขี่มอไซค์) ไปที่ราชบุรี ก็ดุ่ม ๆ ไปโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าตรงไหนเป็นไร่กุยช่าย แล้วหนูก็ไปถามตรงข้างทางมาอีกทีหนึ่ง หนูรู้แค่ว่าไร่กุยช่ายส่วนใหญ่จะอยู่แถบเมืองกาญจน์-ราชบุรี“จนหนูไปเจอแล้วหนูก็ได้ไปคุยกับเกษตรกร เอาจริง ๆ หนูก็ได้ยินว่าแบบเขาก็ถูกแบบต้อง ตัดราคา เพื่อที่เขากลัวว่ากุยช่ายถ้ามันถึงระยะการโต แบบเต็มที่ ใบมันก็จะแก่(จะต้องตัด) หรือไม่งั้นมันก็จะตาย คือมันต้องตัดแล้วมันก็จะขึ้นมาใหม่ไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นบางช่วงที่เขาขายไม่ได้ เขาต้องยอมขายเท”แล้วเกษตรกรเขาจะทำยังไงให้มันยั่งยืนหนูก็เลยคุยกับเขาว่าเอางี้หนูเริ่มมีตลาดหนูใช้ในปริมาณของการผลิตเดือนละประมาณกี่พันกิโลกรัม ก็เขามีได้เท่าไหร่ ให้เขาส่งเรา แล้วหนูก็ให้ในราคาที่เขาโอเค“แล้วก็ที่สำคัญหนูก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้น หนูขออย่างนี้ได้ไหม หนูอยากจะใช้คำว่าหนูเป็นผักจากไร่ปลอดสาร ถ้าหนูจะทำเป็นผักจากไร่ปลอดสารหนูทำอะไรได้บ้าง?”มีการทำมาตรฐานรับรองแปลงผลิต GAP เพื่อที่จะให้เขาอยู่ในการควบคุมเรื่องของเกษตรดีที่ถูกต้อง แล้วเราอยากให้ซัพพอร์ตอะไรกันก็บอกมา ตอนนี้หนูก็มีกลุ่มเกษตรกรที่ส่งผักให้พื้นที่รวม ๆ ก็อยู่ที่ประมาณ 400 ไร่ เดือนหนึ่งก็ประมาณ 6,000-7,000 กิโลกรัม

แบบปอเปี๊ยะ
แล้วหนูก็มานั่งคิด“เฮ้ คนจะกินกุยช่ายทำไมเขาต้อง มานั่งทำเอง! บางทีเขาก็ไม่ได้สะดวกทำครัว เอ๊ะเพราะฉะนั้นเรา เราต้องทำให้เขาถึงที่สิ หนูก็เลยเปิดสาขา”ก็เลยพอคุยกับแฟน แฟนบอกอย่างงั้นลองดูแล้วกันจะทำอะไร โอเค ถ้างั้นเดี๋ยวจะลองเปิดสาขาแรกดูนะ ดูซิถ้าเกิดเราทำให้เขากินได้ง่าย ๆ เลยมันจะเป็นยังไงก็เลยเปิดหน้าห้างโลตัส รัตนาธิเบศร์ค่ะ แล้วก็ขายลองผิดลองถูกอยู่และก็ เฮ้ย! เริ่มเห็นว่ามันก็เป็นรายได้ที่โอเคมากเลยนะที่เพิ่มมาอีกหนึ่งช่องทาง จากที่เราขายออนไลน์ เอ๊ะถ้าเรามี 1 สาขาเนี่ย เราขายได้เดือนละ 2-3 แสนต่อเดือนเนี่ย แล้วถ้าเรามีสัก 10 สาขาล่ะ?”พอหนูบอกว่าหนูจะคิดใหญ่นะ (Think Big) พอแฟนเอาด้วยหนูโทรเรียกทีมงานที่เคยทำเสื้อผ้ากันมาก่อน บอกเลยพี่จะต้องไปต่อยอดไปไหม? แต่ถ้าเกิดพี่ไปโดยที่พี่ไม่มีทีมพี่ไปไม่ได้นะ ก็มีประมาณ 2-3 คนที่มา ออฟฟิศก็เป็นที่บ้านตั้งฐานทัพทำการตลาดจริงจัง“ถึงจุดหนึ่งทีมงานเราก็เริ่ม Recruit มาได้ประมาณหนึ่งแล้ว ก็คิดว่าเริ่มจะขยายสาขาได้ ทีนี้ก็ปั๊มเลยค่ะ พอปั๊มก็ปั๊มมาเรื่อย ๆ เดือนแรกที่เปิดสาขาแรก เดือนที่สองเราก็เปิดอีก 5 สาขา” ก็เริ่มมาจากที่ว่า ถ้าเซ้นส์ที่หนูขายเสื้อผ้ามาตรงไหนที่เป็นทำเลคนเยอะหนูก็ไปตรงนั้น หนูก็ไปหมดเลยงานเอ้าท์ดอร์ อินดอร์ งานวัด ฯลฯ ในห้าง กลางห้าง อยู่โซนฟู้ดคอร์ท อะไรเงี้ยหนูก็ลุยหมดทุกที่ แล้วก็เริ่มค่อย ๆ เห็น ว่าตรงไหนพอไปได้ ตรงไหนเจ๊ง(หัวเราะ)


เจ็บมาก็เยอะก่อนจะ Success ไม่ง่าย! พัฒนาต่อให้ง่ายขึ้นด้วย “นวัตกรรม”
ของจริงเลยก็คือ จนรู้เลยว่าอ้อโอเคตรงนี้ต้องไปได้ ตรงนี้อย่าไปอีก! ไปขายเองด้วย“ตอนนั้นยังเป็นแบบ “แผ่นสี่เหลี่ยม” เอาไปหั่นเองแล้วก็มีสูตรบางกรอบ(เป็นแผ่นบาง) ก็เอาไปหั่นทอดก็คือ ทำยุ่งยากทำไมร้านแค่นี้ ต้องใช้พนักงานถึง 3 คน อะไรอย่างเงี้ย มันดูวุ๊น! วุ่นวายไปหมด หนูแบบทำไปบ่นไป แล้วก็ เอ๊! มันต้องปรับปรุง” ก็เลยเริ่มค่อย ๆ มองดูว่าจะทำยังไงให้มันหั่นมาเป็น “ชิ้น” ได้เลย ทำยังไงให้มันง่ายขึ้น“หนูก็ไปคิดค้น คือไปถึงเขาเรียกว่าบริษัททำแป้งโมดิฟายพิเศษ คือไปวิจัย ไป ม.เกษตรฯ อะไรเงี้ย เพื่อที่ว่าทำยังไงดีให้กุยช่ายของเรามันทอดออกมา แบบได้แยกชิ้น แล้วมันไม่เหนียวติดกัน แล้วมันก็ตอบโจทย์การทำงานง่ายหน้าสาขา” เอาให้มันแบบเหมือน “เฟร็นซ์ฟรายส์” ให้ได้ ก็พัฒนากันอยู่ประมาณปีกว่าจนกระทั่งได้ออกมาเป็นหน้าตาแบบนี้

แบบแป้งบาง ไส้ทะลัก!
พอทำแบบนี้ได้ปุ๊บ เรารู้สึกว่าเฮ้ย! เออว่ะหน้าร้านจากเด็ก 3 คน ต้องเหลือเด็กคนเดียวได้ เริ่มเห็นความเป็นไปได้ว่าแบบ เอ๊ะถ้าอย่างเงี้ยต้นทุนเราลดลง หน้าสาขาของเราก็จัดการง่ายขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้นไม่ใช่ว่าทอดแล้วชิ้นใหญ่บ้าง เล็กบ้างลูกค้าบ่นอย่างเงี้ย แล้วก็ควบคุมการทอดได้เลย ออกมาทุกสาขาหน้าตาเหมือนกันหมด“โอ๊! เริ่มสนุกละค่ะทีนี้ หนูก็เริ่มคิดโมเดลว่าถ้าเกิดเราอยากจะไปขายต่างจังหวัด ลูกค้าเชียงใหม่บอกว่าอยากกินไม่เคยได้กินแบบนี้ อะไรเงี้ย ทำยังไงก็เลยคุยกับทีม ไม่งั้นก็จะลองเริ่มอนุญาตให้แบบเปิด ‘แฟรนไชส์’ แล้วนะ”เริ่มให้ใครที่เห็นโมเดลธุรกิจเราแล้วชอบไปในทางเดียวกันกับเรา


เปิดตัวธุรกิจแฟรนไชส์ใหม่แบบเข้าใจหัวอก “คนกลัวเจ๊ง” ให้กล้าเปิดใจลอง!
มันก็มาจากคอนเซ็ปต์ของอาม่าว่าถ้าจะขายของก็อย่าไปหวงของเขาเลย! ให้เขาไปเถอะอะไรอย่างเงี้ย แล้วพ่อหนูก็จะพูดว่าให้เขาก่อน ให้เขาก่อน หนูก็ ถ้าเกิดหนูจะทำธุรกิจแฟรนไชส์แล้วถ้าหนูเป็นคนหนึ่งที่สนใจแบรนด์นี้ แล้วหนูอยากจะลงทุนแล้วมันจะมีข้อจำกัดอะไรบ้าง“หนูก็เห็นว่าอ๋อ จริง ๆ แล้วคนที่กลัวทั้งหมดทั้งมวลนี้ เขากลัวเจ๊ง! กลัวว่าลงทุนไปแล้วไม่มีคืนกำไร กลัวว่าไม่ได้กำไรคืน ถ้างั้นทำยังไงดี? ให้เขาลงทุนแล้วเขารู้สึกว่าอันนี้เขาไม่เจ๊งแน่นอน” หนูก็เลยคิดเลยว่า “ต้นทุน” ของ 1 สาขาเวลาที่เราเปิด ใช้เงินกี่บาท หนูก็เห็นเลยว่าขั้นต่ำมันต้องมี 1 หมื่น ก็คือ 9,999 บาท อันนี้คือต้นทุน งั้นบอกโอเคขายราคานี้เลย!“ขายราคาประมาณนี้ 9,999 บาท ให้อุปกรณ์ทุกอย่างที่มี ให้วัตถุดิบไปตั้งต้น/เริ่มต้น วัตถุดิบทั้งหมดที่ให้ไปเนี่ย(หัวเราะ) ขายปุ๊บเนี่ยได้ 14,000 บาท คืนทุนเรียบร้อย เหลือกำไรเบ็ดเสร็จเลย” หนูขายลูกค้า ลูกค้าก็ถามว่าแบบ แล้วไม่กลัวเจ๊งเหรอ? เขาก็จะถามหนูแบบนี้ หนูก็บอกว่าสำหรับหนูแค่คิดว่า หนูไม่ได้อยากได้เงินเขาแค่ก้อนแรก แต่ถ้าเกิดเขาเห็นความเป็นไปได้ เขาก็ซื้อสินค้ากับเราต่ออันนี้มันจะไปด้วยกันได้ยาว ๆ มากกว่า

กุยช่ายแผ่นบางอบกรอบ สแน็คพันธุ์ใหม่ของโลก!
เราเริ่มต้นจากการที่เรามีสาขา แล้วเรามีทีมงาน พอเราเริ่มพูดว่าเราเริ่มมี “แฟรนไชส์” ก็มีคนให้การตอบรับเลย“มันก็เริ่มเติบโตขึ้นเร็วมาก ๆ เรามาโฟกัสเอาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ หนูก็มีประมาณ 100 สาขา เราก็อยากเติบโตให้ดีแบบหมายถึงว่า หนูอยากให้มันยั่งยืน”เพราะฉะนั้นคู่ค้าของหนูที่เขามาเป็นพาร์ทเนอร์กับเรา เขาต้องรักในแนวคิดเราก่อน แล้วหนูก็ต้องเห็นด้วยว่าเขาก็ต้องรักในสินค้าเราเหมือนที่เรารัก ถ้าเขาทำอันนี้แล้วเขาใส่ใจกับมันจริง ๆ“สาขาแฟรนไชส์ที่เขาทำสำเร็จแล้ว เขาได้กำไรเดือนละ 6 หมื่นกว่าบาท อันนี้คือสแตนดาร์ทที่ลูกค้าแฟรนไชส์แบบมาฟีดแบ็คกับหนูนะคะ คนเหล่านี้ก็จะเริ่มเปิดสาขา 2, 3, 4 ด้วยตัวเขาเองเลย หนูก็เลยอู้หู! แบบคือหนูดีใจมากเลยนะ หนูอาจจะไม่ได้กำไรเท่าเขาด้วยซ้ำเนี่ยนะ แต่ว่าหนูรู้สึกว่าหลาย ๆ คนเขาเจ๊งมาจากที่อื่น แล้วเขาก็อยากหาจุดยืนบางอย่าง แล้วพอเขาได้อันนี้เป็นจุดยึดเหนี่ยวเหมือนเขาเจอแสงสว่างเขาก็เลยแบบมั่นใจ” เอออันนี้หนูแบบหนูรู้สึกว่า เราได้ช่วยเหลือกัน


หนูก็จะคุยก่อนเลย “ทำเล” เป็นยังไง แพ็คเก็จไหนเหมาะซึ่งของเราก็จะมีตั้งแต่ 9,999 บาทไปจนถึง 49,999 บาท(เป็นร้านน็อคดาวน์ที่มีแผงไฟลอยป้ายไฟสวยงามคือขายในพารากอนก็ใช้ชุดนี้ได้เลย) แล้วแต่ความเหมาะสมกับพื้นที่ แฟรนไชส์ซีที่ผูกมัดกันก็จะเป็นเรื่องของ หลัก ๆ ก็คือ วัตถุดิบ ทั้งหมดนี้ก็คือมีแค่ที่เราเท่านั้นที่ทำแบบนี้ ก็ให้ยึดในของเราทั้งหมด แล้วก็ที่เหลือเป็นเรื่องการเคารพแบรนด์ซึ่งกันและกัน ว่าแบรนด์เรา เราตั้งใจดีไซน์แบบนี้ก็ไม่อยากให้เอาสินค้าอื่นมาปะปน แล้วที่เหลือก็เป็นเรื่องของความใส่ใจที่เราอยากให้เขา“คือหนูก็จะบอกว่าเขาไม่ใช่ลูกค้าหนู แต่เขาเป็นพาร์ทเนอร์หนู เพราะฉะนั้นเขาถือแบรนด์ที่เราสร้างด้วยกันมาเราก็อยากให้เขาต่อยอด ให้มันดีต่อไป”


นอกจากนี้หลังบ้านหนูก็จะมีทำส่ง ร้านอาหาร ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ ร้านข้าวมันไก่ที่เป็นร้านเล็ก ๆ“คือเขาขายแค่ข้าวมันไก่อย่างเงี้ยเขาก็ขายได้แค่ข้าวมันไก่ แต่ถ้าเกิดมีคนกินเล่นเป็นขนมกุยช่ายทอดเพิ่ม เขาก็ได้เพิ่มอีกหัวหนึ่งก็อีก 40 บาท 30 บาทอย่างเงี้ย”หนูก็ทำส่งหลังบ้านทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ ใครที่มีวอลลุ่มเยอะก็สามารถทำเป็นแบรนด์ของตัวเองได้ เราก็มีทำ OEM ให้ได้ด้วย


การเติบโต(เมื่อโลกเปลี่ยน) เราก็ต้องมีการปรับตามหน้างานด้วย
ตอนนี้กลายเป็นว่าพวกธุรกิจที่อยู่ on site หรือหน้าสาขาของเราเองทั้งหมด เป็นรายได้ประมาณ 50% ของรายได้ทั้งหมดแล้วก็ในพาร์ทของธุรกิจแฟรนไชส์ กับธุรกิจขายส่ง ก็อีกประมาณ 30% ก็ค่อย ๆ โตขึ้นมาก ๆ เลยแล้วก็ ฝั่ง online ก็ประมาณ 20 กว่า% ออนไลน์ก็ยังอยู่ไม่ทิ้ง แต่เขาก็จะอยู่ของเขาแบบนั้น(คงที่) คือเห็นแล้วว่า ถ้าเราไม่ทำอะไรต่อ เราก็จะเป็นภาพเดิมรายได้ก็จะอยู่เท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้นมากว่านี้อีก

“รูปแบบธุรกิจตอนแรกหนูเริ่มต้นจากอยากเป็น ‘ของดีเมืองนนท์’ ใช่ไหมคะ ตอนหลังหนูก็มามองว่าเอ๊ะเรามีสินค้า หนูก็เริ่มมาเป็น‘สตรีทฟู้ดเมืองไทย’พอตอนนี้เป้าหมายหนูก็คือ สตรีทฟู้ดไทย ที่สามารถพาคนไทยแบบให้ทั่วโลกรู้จัก” หนูก็มีกุยช่ายที่หนูเริ่มปั้น แล้วก็มี “ไส้กรอกอีสาน” ภายใต้แบรนด์อีสานเลิฟเวอร์ แล้วก็มี “เกี๊ยวเจ๊ว่านใจใหญ่” ที่เป็นแบบว่าเกี๊ยวหมูเด้ง(ตอนนี้ก็มีอยู่ 4-5 สาขา) ตามในห้างฯ ก็จะเป็นเกี๊ยวหมูเด้งใหญ่ ๆ อร่อย ๆ เลยขายแค่อันละ 10 บาท ให้คนแบบเข้าถึงได้ง่าย คือหนูก็จะมีสินค้าทั้งราคากลาง ๆ ราคาบน ราคาล่าง ให้ลูกค้าแบบหลากหลายขึ้น ก็พัฒนาต่อเรื่อย ๆ“แฟรนไชส์ที่จะเป็นแบบหนึ่งในพาร์ทเนอร์ของหนู จริง ๆ ก็มองพนักงานหนูเนี่ยเป็นพาร์ทเนอร์ของหนู คือหนูก็คิดว่าจะยั่งยืนหรือเติบโตได้ ถ้าหนูไม่มีพวกเขามาช่วย ในวันที่แบบเหนื่อยมาก ๆ ตอนแรกที่ไม่ได้หลับได้นอนกันเลย ในการแบบเปิดสาขาใหม่ ๆ ต่อเนื่องอย่างเงี้ย มันก็ไม่มีทางที่จะมาเป็นวันนี้ได้เพราะว่า เราเล็กมาก เงินทุนเราก็น้อย เราจะไปสู้กับเจ้าที่เขามีเงินทุนเยอะ ๆ หรือแบรนด์ใหญ่ มันไม่มีอะไรจะชนะไปกว่า แบบพลังของพวกเราเองเลยอ่ะ คือมันต้องจับมือกันมาก ๆ แล้วเราก็ต้องแบบบู๊ไปเจอเรื่องผิดพลาดก็ต้องมา เริ่มต้นกันใหม่ คือมันต้องขับเคลื่อนด้วยทีมสำหรับ SMEs แบบหนูนะคะ ไม่งั้นเราไม่มีอะไรที่จะไปเหนือกว่าคู่แข่งได้เลยในตลาดความเป็นจริง”



สิ่งที่ลูกค้าจดจำได้ “กุยช่ายสวรรค์” และเป้าหมาย “สตรีทฟู้ดไทย” ให้ทั่วโลกรู้จัก
กมลชนก มานะดี หรือคุณว่านน้ำ เจ้าของแบรนด์ “กุยช่ายสวรรค์” ยังบอกด้วย ตอนนี้ก็ยังพัฒนาไม่หยุดค่ะ ความตั้งใจก็หนูอยากจะเป็นสตรีทฟู้ดไทยที่ทั่วโลกรู้จัก“เหมือนชาตรามือ เหมือนวราภรณ์ซาลาเปา ที่เขาแบบเออเขาเป็นแบรนด์ไทยที่เริ่มต้นจากไม่ได้ใหญ่เลย แต่ว่าเขาสามารถประกาศให้แบบโลกรู้ได้ว่าเมืองไทยมี Soft power ที่มันแบบ ดีแบบแล้วมันก็ควรที่จะต่อยอด อยากเป็นอันนั้นอยากเป็น Soft power อะไรอย่างเงี้ยค่ะของเมืองไทย” ส่วนที่ถามว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าจดจำได้ความเป็น“กุยช่ายสวรรค์” ถ้าพูดเองมันเหมือนหนูจะอวยตัวเองใช่ไหม หนูเอาคำพูดจากลูกค้าแฟรนไชส์พูดดีกว่า หนูถามเขาก่อนตอนแรกเลยว่าทำไมถึงสนใจแบรนด์แฟรนไชส์หนู เขาบอกอันแรก อร่อย อร่อยก็คือดั้งเดิมพอกินแล้วมันผักเยอะ ข้างในนุ่ม ข้างนอกกรอบ แล้วรู้สึกว่าอันนี้อร่อย! และเขาก็พอมากินอันอื่นเขารู้สึกว่า แปลก! แบบมันเหมือนกับว่าไม่ใช่แค่อร่อยและก็เดิม ๆ แต่คล้าย ๆ ว่าแปลกแล้วก็ว้าว! แล้ว “น้ำจิ้ม” ของหนูจะเป็นสูตรแต้จิ๋วโบราณ(อาม่าเป็นคนแต้จิ๋ว) เพราะฉะนั้นสูตรน้ำจิ้มที่มันเป็นต้นตำรับ “ซีอิ๊วดำ” นี่คือหนูจะไม่ขยับเขาเลยนะคะ หนูยังยึดและมีแค่น้ำจิ้มเดียวด้วย ซีอิ๊วดำรสจะออกเป็น เค็ม ๆ หวาน ๆ เผ็ด ๆ ก็จะเป็นสูตรของทางเราเลย


“อยากฝากคนไทยทุกคนให้สนับสนุน สินค้าคนไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs หนูเชื่อว่าทุกคนเขาโคตรตั้งใจเลย มันมาบนพื้นฐาน SMEs เนี่ยมัน ๆ ล้มลุกคลุกคลานและก็เหนื่อยมากเลย แล้วบางทีมันเจอปัญหา คนที่จะไปต่อจริง ๆ มันน้อยมาก สิ่งหนึ่งที่จะไปต่อได้ก็คือ การได้กำลังใจจากลูกค้า และก็ฟีดแบ็คลูกค้าที่ทำมาทั้งหมดนั้นมันคือ การเติบโต ที่เราเอามาเรียนรู้ หนูเลยอยากจะบอกคนไทยทุกคนว่าอยากให้สนับสนุนกันนะคะ เราเติบโตด้วยกันมันเติบโตได้ถ้าเราไปด้วยกัน ก็เลยอยากให้ช่วยกันค่ะ ไม่ว่าจะแบบแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ ก็ให้สนับสนุนและก็แนะนำติชมกันอย่างเงี้ยค่ะ หนูเชื่อว่าผู้ประกอบการใหม่ ๆ หลายคนอยากได้พื้นที่เติบโต และอยากได้รับการสนับสนุนจากทุกคน”ก็ถ้าอยากจะฝากกุยช่ายสวรรค์ก็ อยากบอกว่าหนูก็เป็นแบรนด์หนึ่งที่ตั้งใจมาก ๆ เลย อยากให้สิ่งที่ทำมันมีคนเห็นและก็เติบโตไปได้จริง ๆ แบบยั่งยืน แบบที่ใครเอาเราไปเขาก็ภูมิใจ และก็ภูมิใจถ้าเราได้เป็นตัวแทนประเทศที่ทั่วโลกยอมรับว่า เฮ้ย!นี่มันแบบ Know-how คนไทย อะไรอย่างเงี้ย หนูจะดีใจมากเลย เออเนี่ยคือเป้าหมายหนู

การันตีคืนทุนบวกกำไรตั้งแต่เริ่มขาย! กุยช่ายสูตรอาม่าพลิกชีวิตแฟชั่นนิสต้าตัวตึงสู่เถ้าแก่แฟรนไชส์ จากออนไลน์สู่แฟรนไชส์ “กุยช่ายสวรรค์” ใจป้ำ 2 ปีขยายกว่า 100 สาขา และนี่ก็คือเส้นทางของการบากบั่นทำธุรกิจมาเพื่อให้ทุกปัญหาที่เจอกลับกลายเป็นช่องทางของการไปต่อ...ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขอบคุณเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจดี ๆ จากเจ๊ว่านใจใหญ่และแฟรนไชส์ในเครือของขุมทรัพย์เมืองนนท์ที่กรุณามาร่วมแบ่งปันในครั้งนี้ สามารถติดตามผลงานหรือท่านใดที่กำลังมองหาธุรกิจทำเงินใหม่ ๆ ติดต่อไปได้ที่ โทร.082-987-2228 FB : กุยช่ายสวรรค์
กำลังโหลดความคิดเห็น