ภาพรวมคุณภาพอากาศประเทศญี่ปุ่นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่ได้มาจาก“จิตสำนึก" ของประชาชนเท่านั้น แต่มาจากการสร้าง “ระบบ” ที่ส่งเสริมช่วยกันนำพาสังคมไปสู่การใส่ใจสิ่งแวดล้อม
1.สร้างให้ประชาชนไม่มีแรงจูงใจในการใช้รถยนต์ เพราะระบบขนส่งมวลชนในเมืองเดินทางได้สะดวกสบายกว่า ประหยัดทั้งเงินและเวลมากกว่า ทั้ง หมดเกิดจากการที่ภาครัฐลงทุนในระ บบคมนาคมขนส่งแบบ “บูรณาการ” ไม่ ใช่แค่รถไฟไฟที่ครอบคลุมพื้นที่เป็นหลักแต่ยังรวมถึงเครือข่ายรถ เมล์ปรับอากาศ เลนจักรยานและทางเดินเท้าที่กว้างขวางทให้ สามารถเดินและเดินทางโดยจัรยานไปได้ทุกแห่ง
...ทั้งหมดทำให้ในการเดินทางในเมืองไม่ต้องพึ่งพารถยนต์มากนัก
2.ออกกฎหมายซื้อรถยนต์ไม่ได้ หากไม่มีที่จอดรถ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในบ้านของตนหรือไปเช่าที่อยู่ รวมทั้งห้ามการจอดรถข้างทางบนถนนหน้าบ้านตนเองเด็ดขาด โดยจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสม่ำเสมอ แต่มีเงื่อนไขยกเว้นพิเศษบ้าง เช่น รถจิ๋ว K-Car
..สำหรับการเสียภาษีต่ออายุประจำปีจะแพงขึ้นทุกปีเข้าปีที่ 6 ภาษีแพงเกือบเท่าราคารถยนต์ที่ซื้อ
นอกจากนี้ยังมีการสอบใบขับขี่ที่เข้มงวดและค่าที่จอดรถในเมืองที่แพงอีกด้วยทำให้รถยนต์บนท้องถนนมีจำนวนน้อยลง การปลดปล่อยมลพิษทางอา กาศบนถนนก็น้อยลงด้วยเช่นกัน..
..รัฐบาลสนับสนุนให้บริษัทรถยนต์ในญี่ปุ่นทำการวิจัยคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาตลอด ทั้งรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน Toyota Mirai รถไฟฟ้า Nissan Leaf หรือของ Tesla เหล่านี้กำลังเติบโตและจะน่ามาทดแทนรถใช้น้ำมันในอนาคต
3.รถโดยสารประจำทางก็ได้รับการตรวจสภาพรถสม่ำเสมอ คันไหนที่เก่าเกินก็ถูกปลดระวาง ส่วนรุ่นใหม่ๆ ถูกกำหนดให้ก็ปล่อยไอเสียน้อยลง จึงแทบไม่เห็นรถโดยาสารสาธารณะในญี่ปุ่นปล่อยควันดำออกมาเลย
4. มีระเบียบการควบคุมอย่างเข้มงวด ในไซส์ก่อสร้างต่างๆต้องมีการปิดคลุมทั่วทั้งอาคารเพื่อลดฝุ่นละอองออกมาให้น้อยที่สุด มีการตรวจรถบรรทุกไม่ให้ปล่อยควันดำหรือไอเสียเกินค่ามาตร ฐานที่กำหนด และรถบรรทุกที่จะออกมาจากพื้นที่ก่อสร้างจะต้องมีการล้างทำความสะอาดล้อรถยนต์ก่อนทุกครั้ง
5.รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกกฏหมายพัฒนาพื้นที่สีเขียวและสวนสาธารณะทั้งในเมืองและนอกเมืองอยู่หลายฉบับ แม้แต่กรุงโตเกียวที่เป็นมหานครใหญ่มีอาศัยอยู่มากกว่าสิบล้านคนยังมีพื้นที่สีเขียวเฉลี่ยมากกว่า 12 ตารางเมตร/คน สูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลกที่กำ หนดไว้ 9 ตารางเมตร/คน(กรุงเทพ ประ มาณ6.7ตารางเมตร/คน) นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเมืองที่ทำได้ดีมากกว่ากรุงโตเกียวสำหรับพื้นที่สีเขียว เช่น เมืองเซ็นได ที่ปลูกต้นไม้สูงใหญ่ตามขริมถนนทั่วทั้งเมือง ร่มรื่น มีอากาศดีมาก
6.ในภาพรวม ญี่ปุ่นหันมาใช้โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ตั้งแต่ปี 1960ทดแทนโรงไฟ้าพลังถ่านหินที่ทำลายสิ่งแวด ล้อมมากกว่า โรงงานอุตสาหกรรมถูกตรวจสอบจากหน่วยงานอย่างเข้มงวดโดยทุกขั้นตอนต้องเปิดเผยโปร่งใส เพื่อลดช่องว่างปัญหาการคอรัปชั่น มีตั้งค่าปรับสูงๆ หากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ เช่นปี 1972 ได้ออกกฎหมาย Absolute Liability Law ผู้ก่อมลมลพิษโดยจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ต้องเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายแก่ผู้เสียหายทั้งหมดโดยสื่อมวลชนญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งพลังในการช่วยตรวจสอบเช่นกัน
7.ภาคประชาชนที่แข็งแกร่ง(Active Citize) กลุ่มประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากมลพิษจะจับกลุ่มรวมตัวกัน มีการยื่นหนังสือร้องเรียนเข้าพบประชุมหารือกับหน่วยงานรัฐท้องถิ่น เช่น ในปี 1973 มีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นองค์กร Natio nal Liaison Council for Pollution Victims Organizations มีการประสานงานกันระดับภูมิภาคในสเกลที่กว้างขึ้น นำไปสู่การริเริ่มมาตร การภาครัฐที่มีความเข้มข้นมากขึ้น
บทความโดย ดร.สนธิ คชวัฒน์
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย
อ้างอิง : เฟซบุ๊ก Sonthi
Kotchawat