เมื่อโลกเร่งเดินหน้าสู่พลังงานสะอาด ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ไทยจนต้องประกาศร่นเวลาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero)ให้เร็วขึ้นถึง 15ปีจากปีค.ศ.2065 ขยับขึ้นมาเป็นปีค.ศ. 2050 ส่งผลให้หน่วยงานที่ดูแลด้านความมั่นคงด้านพลังงานต้องเร่งสปีดเดินหน้าศึกษาเทคโนโลยีต่างๆไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR )และพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญ และเป็น“ความหวังใหม่” ของระบบไฟฟ้าไทย ในการผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายNet Zero ควบคู่กับในการยกระดับความมั่นคงพลังงาน
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะหน่วยงานหลักในการดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ และมุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่สะอาดและยั่งยืน มีการศึกษาเทคโนโลยี SMR และพลังงานไฮโดรเจนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนถึงวันที่ต้องตัดสินใจลงทุนจริง โดยกฟผ.ตั้งเป้าหมายในการมีบทบาทในพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน โดยไม่ใช่แค่ซื้อเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ กฟผ.ได้นำคณะสื่อมวลชนเดินทางไปอัปเดตเทรนด์นวัตกรรมพลังงานสะอาด ศึกษาความก้าวหน้าของเทคโนโลยี Small Modular Reactor (SMR) และพลังงานไฮโดรเจน ณ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดยได้ศึกษาดูงานที่ KHNP Central Research Institute (KHNP CRI ) เป็นศูนย์วิจัยกลางของ Korea Hydro&Nuclear Power(KHNP) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าของเกาหลีใต้อย่างKorea Electric Power Corporation (KEPCO) ที่มีบทบาทในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ของเกาหลีใต้
นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมโรงงานผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของ KEPCO Nuclear Fuel (KNF) เป็นโรงงานผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์แห่งเดียวที่ป้อนให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมดในเกาหลีใต้ และโรงงานผลิตเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนของบริษัท Doosan Enerbility Co., Ltd.
หากมองย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1978 เกาหลีใต้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกคือ Kori-1 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ โดยเกาหลีใต้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากถึง 26โรง และมีแผนพัฒนาเทคโนโลยีและการสร้างเครื่องปฏิกรณ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้า
เพียงชั่วเวลาไม่กี่สิบปี เกาหลีใต้เปลี่ยนจากผู้นำเข้ากลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ Top 5 ของโลก มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากถึง 26 โรง มี 4 โรงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 26,050 เมกะวัตต์ หรือสัดส่วน 32%ของความต้องการใช้ไฟในประเทศ ซึ่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทั้งหมดจัดหาโดยบริษัท KNF ผู้ผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์รายเดียวของประเทศที่สามารถผลิตเชื้อเพลิงทั้งสำหรับเครื่องปฏิกรณ์ชนิด Light Water (LWR) และ Heavy Water (HWR)
ตามแผนพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 11 เกาหลีใต้มีแผนเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นเป็น 35 %ในปีพ.ศ. 2580 โดยจะลดการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินจากเดิมมีสัดส่วน 31%ในปี2566 มาอยู่ที่ 10% และก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)จาก27%ลดเหลือ 10% แต่เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนขึ้นจากเดิม10%เป็น 30%ในปีพ.ศ.2580
การเพิ่มสัดส่วนพลังงานนิวเคลียร์เข้ามาในระบบไฟฟ้า ทางเกาหลีใต้ มีเป้าหมายพัฒนานำร่องโครงการ SMR ขนาดกำลังผลิต 680 เมกะวัตต์ ผ่านเทคโนโลยี “i-SMR (Innovative Small Modular Reactor)” จำนวน 4 โมดูล ( กำลังผลิต170 เมกะวัตต์ต่อ1โมดูล) ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำของเกาหลีใต้ (เช่น KHNP, KAERI, KEPCO E&C) ภายใต้ i-SMR Consortium ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ ตั้งเป้าหมายก่อสร้างแห่งแรกในปี2573 และเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2578 ซึ่งเร็วกว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิมถึง 3-4ปี หากประสบความสำเร็จด้วยดีในอนาคตSMRอาจะเข้ามาแทนที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม
ด้วยประสบการณ์และการพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกาหลีใต้วางแผนผลักดันเทคโนโลยีใหม่ i-SMR เป็นเครื่องปฏิกรณ์น้ำอัดแรงดันแบบรวมอุปกรณ์ (Integral PWR) ที่มีความทันสมัย มีความปลอดภัย ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ และความยืดหยุ่น ด้วยกำลังผลิต 170เมกะวัตต์ต่อ1โมดูล ถือเป็นโซลูชันพลังงานแห่งอนาคต ตอบโจทย์ให้กับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเมืองอัจฉริยะในอนาคต
กฟผ.ชูเกาหลีใต้ต้นแบบ “การพึ่งพาตนเอง”
นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า เกาหลีใต้เป็นตัวอย่างที่ดีในการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเอง อาทิ i-SMR ที่อาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน50ปีเริ่มต้นจากการซื้อเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ พัฒนาต่อยอดจนเป็นi-SMR และพร้อมลงทุนโครงการนำร่องในปี2578 เมื่อประสบความสำเร็จก็พร้อมขายเทคโนโลยีในต่างประเทศ
ซึ่งกฟผ.อยากให้ไทยนำวิธีคิดเกาหลีใต้มาปรับใช้ โดยเป็นวิธีคิดที่ต้องการยืนด้วยขาตัวเอง แทนที่จะพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติไปตลอด ดังนั้นหากไทยเดินหน้าโครงการSMR ในประเทศ จำเป็นต้องพิจารณาตลอดValue Chain ทั้งการบริหารเชื้อเพลิงและการกำจัดกากนิวเคลียร์ฯลฯ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้เหมือนเกาหลีใต้
ไทยขยับสู่เฟส2การเปลี่ยนผ่านพลังงาน
สำหรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานต้องการเทคโนโลยีใหม่เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ถูกแบ่งออกเป็น 3 เฟส โดยปัจจุบันไทยอยู่ในเฟสแรก คือ พลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ ชีวมวลและก๊าซชีวภาพ ซึ่งเป็นโครงการที่มีการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว และมีต้นทุนต่ำ แต่พลังงานหมุนเวียนยังไม่มีความเสถียร เมื่อมีจำนวนพลังงานหมุนเวียนเข้ามาในระบบไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ กฟผ.ต้องเร่งขยายโครงข่ายเพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น
ตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ( PDP)ใหม่ มีการวางระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) สูงถึง 45,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับราว 20,000 เมกะวัตต์ และแบตเตอรี่ 25,000 เมกะวัตต์ โดยกฟผ.จับมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)ศึกษาพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและ Net Zero ของประเทศ โดยมุ่งเน้นเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การจัดการพลังงานสะอาด และขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบตเตอรี่ EV, แผงโซลาร์ เพื่อสร้างต้นแบบนิคมฯยั่งยืน
ทั้งนี้ กฟผ. ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้า มุ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกิน 50% ตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP2024) ผ่านโครงการสำคัญ เช่น โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ (Quick Big Win) การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ และระบบกักเก็บพลังงาน (BESS)
ส่วนเฟสที่ 2 เป็นเทคโนโลยีที่ทั่วโลกที่มีการพัฒนาอยู่แล้ว แต่ยังไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์เต็มที่ แต่มีการนำร่องบ้างแล้ว เช่น เทคโนโลยี SMR ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความใกล้ความจริงมากที่สุด โดยร่าง PDP 2024 ของไทย มีโรงไฟฟ้า SMR จำนวน 2 โรง กำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี2580 ซึ่งโรงไฟฟ้าSMR ถือเป็นพลังงานสะอาดที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายNet Zero ในปีค.ศ. 2050 แม้ว่าต้นทุนการลงทุนจะสูงกว่าพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ แต่เมื่อมีผู้เล่นมากขึ้นเชื่อว่าต้นทุนโรงไฟฟ้าSMRจะต่ำลงแข่งขันกับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงอื่นได้ แต่หากไม่มี SMR เป็นทางเลือก ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะต้องพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้าในสัดส่วนสูง ดังนั้น SMR จึงไม่ใช่เรื่อง “เลือกหรือไม่เลือกนิวเคลียร์” แต่เป็นเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ข้อได้เปรียบเทคโนโลยี SMR เมื่อเทียบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม พบว่ามีจุดเด่นที่ปิดจุดอ่อนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เดิม โดยSMRมีความปลอดภัยสูง ใช้ระบบ Passive Safety สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าภายนอก และใช้พื้นที่จำกัดในการตั้งโรงไฟฟ้าประมาณ 100ไร่ เพราะขนาดโรงไฟฟ้าจะเล็กกว่าเริ่มตั้งแต่ 50-300เมกะวัตต์ เทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ดั้งเดิมที่มีขนาดกำลังผลิตกว่า 1,000 เมกะวัตต์ จึงใช้พื้นที่ประมาณ1,000ไร่
อย่างไรก็ดี หากไทยตัดสินใจเดินหน้าอย่างเป็นทางการตามมาตรฐาน IAEA ที่เคยประเมินประเทศไว้จะต้องใช้เวลาประมาณ 12–13 ปีจึงจะเห็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงแรกเกิดขึ้น โดยไทยจะต้องมีกฎระเบียบ กฎหมายรองรับให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ IAEA รวมทั้งต้องได้รับการยอมรับจากมวลชนในประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทายสำคัญ ที่ต้องอาศัยการสื่อสารทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งนโยบายภาครัฐที่ยืนยันว่าจะให้เกิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กขึ้นในไทย
ดังนั้น กฟผ.เตรียมทบทวนสิ่งที่ IAEAเคยประเมินไว้ในการเดินหน้าโครงการSMR เชื่อว่าจะผ่านมาตรฐานข้อกำหนดที่ IAEAกำหนดไว้ทั้ง 19 ด้าน
เปรียบเทียบSMRจีน:เกาหลีใต้
ที่ผ่านมากฟผ. มีการติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยี SMR จากนานาประเทศอย่างใกล้ชิด ร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สำคัญคือ บริษัท KHNP ในการศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิค รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับโครงการ SMR ของประเทศไทย ซึ่ง KHNP ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนิวเคลียร์ระดับโลกที่มีประสบการณ์กว่า 50 ปี และมีศูนย์วิจัยกลาง CRI ณ เมืองแทจอน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยเทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์รุ่นใหม่ รวมถึงระบบความปลอดภัย ล่าสุดได้พัฒนาเทคโนโลยี i-SMR ที่ใช้น้ำเป็นตัวหล่อเย็น ติดตั้งแบบฝังใต้ดิน พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าหรือบุคลากรควบคุม
อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบเทคโนโลยี SMR ของจีน (ACP100) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าต้นแบบคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องปีพ.ศ. 2569 จะมีขนาดกำลังผลิต125เมกะวัตต์ 1โมดูล เล็กกว่าเกาหลีใต้ที่ i-SMR อยู่ในขั้นตอนการออกแบบโรงไฟฟ้าต้นแบบคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องภายในปี พ.ศ 2578 จะมีขนาดกำลังผลิต 170 เมกะวัตต์ต่อ 1โมดูล (รวม4โมดูล 680เมกะวัตต์ )
ส่วนชนิดของเครื่องปฏิกรณ์เหมือนกัน เป็นเครื่องปฏิกรณ์น้ำอัดแรงดันแบบรวมอุปกรณ์ (Integral PWR) แต่โรงไฟฟ้าSMRของจีน มีอายุการใช้งาน 60ปีสั้นกว่าเกาหลีใต้ที่เคลมว่าอายุโรงไฟฟ้านานถึง 80ปี และมีศูนย์ควบคุมที่ใช้ AI และเทคโนโลยี ICT ในการบริหารจัดการระบบพลังงานแบบครบวงจร
เกาหลีใต้นำไฮโดรเจนไปใช้ในอุตฯ-โรงไฟฟ้า
ส่วนไฮโดรเจน เป็นพลังงานสะอาดที่กฟผ.ให้ความสำคัญเช่นกัน โดยได้ร่วมศึกษากับหลายหน่วยงาน อาทิ Doosan เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีพลังงานปลอดคาร์บอน อาทิ ไฮโดรเจน แอมโมเนีย และเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่ง กฟผ.ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการผสมไฮโดรเจน 5% กับก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม กฟผ. จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าน้ำพอง และโรงไฟฟ้าจะนะ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรายงานผลการศึกษาข้อจำกัดของโรงไฟฟ้าต่อคณะกรรมการ กฟผ. พร้อมทั้งจับมือบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น อาทิ บริษัท มิตซูบิชิ (ประเทศไทย) จำกัด (MCT) ศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียบนพื้นที่ศักยภาพกฟผ.
โดยประเทศที่มีการพัฒนาไฮโดรเจนอย่างรวดเร็วมีทั้งจีน ญี่ปุ่น ส่วนเกาหลีใต้มีการนำไฮโดรเจนไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งใช้ในการผลิตไฟฟ้าภายใต้นโยบาย Hydrogen Economy Roadmap ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การขนส่ง การกักเก็บ ไปจนถึงระบบสถานีบริการและการใช้ในภาคพลังงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงที่มีการพัฒนาเชิงพาณิชย์จำนวนมาก เช่น โครงการ Shinincheon Bitdream โรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กำลังผลิต 78.96 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Doosan ทั้งหมด
สำหรับโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS)เป็นอีกเทคโนโลยีที่ช่วยให้ไทยไปสู่Net Zero ได้ โดยมีปตท.สผ.นำร่องโครงการCCSในแหล่งอาทิตย์ ซึ่งมีขั้นตอนแยกคาร์บอนจากก๊าซธรรมชาติแล้วนำกลับไปอัดในหลุมปิโตรเลียมที่ไม่ได้ใช้แล้ว ซึ่งโครงการนี้ใช้เงินลงทุนสูง จำเป็นต้องได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ
ส่วนเฟส3 เป็นเฟสที่มีเทคโนโลยีฟิวชัน แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ วัดจากการนำพลังงานใส่เข้าไปแต่ได้ผลที่น้อยกว่า ซึ่งมีแค่เพียงโครงการเดียวในสหรัฐฯที่ทำได้ โดยเฟสนี้ยังต้องใช้เวลาอีกนาน
นายวฤต กล่าวว่า ขณะนี้กฟผ.ยังไม่ได้สรุปเลือกเทคโนโลยีSMR ของประเทศใด เพราะหลายประเทศมีประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยี และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เนื่องจากเราไม่ต้องการเป็นแค่ผู้ซื้อเทคโนโลยีอย่างเดียว ส่วนประเด็น Geopoliticก็มีความสำคัญ เพื่อสร้างความสมดุลในแง่มหภาค ดังนั้นกฟผ.ไปได้กับทุกค่าย เพื่อต้องการเรียนรู้ศึกษาโครงการนำร่อง ขณะเดียวไม่ใช่เรื่องของกฟผ.เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคนในประเทศด้วย