ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat เมื่อเร็วๆ นี้ (19 ธ.ค.2568) ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญจะกลับมาอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังปีหน้า (ค.ศ.2026)
นักวิเคราะห์สภาพภูมิอากาศยุโรปและอเมริกาคาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญจะกลับมาอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี2026และอาจถึงจุดสูงสุดในช่วงฤดูหนาวปี 2026-2027
1.การเปลี่ยนแปลงนี้ : อาจผลักดันอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นถึงหรือเกินเกณฑ์ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อนและภัยแล้งได้
2.สภาพภูมิอากาศปัจจุบันและสัญญาณเตือน : ปัจจุบันมหาสมุทรแปซิฟิกกำลังประสบกับสภาวะลานีญาอ่อนๆ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ตรงข้ามกับเอลนีโญแต่มีอุณหภูมิต่ำกว่า สภาวะเหล่านี้คาดว่าจะอ่อนลงในช่วงฤดูหนาวของซีกโลกเหนือที่จะมาถึง
อย่างไรก็ตามการสังเกตการณ์ล่าสุดแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่กลับกัน โดยอุณหภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเส้นศูนย์สูตรเริ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณทางตะวันตกภาวะโลกร้อนนี้ไม่เพียงแต่ปรากฏให้เห็นบนผิวน้ำเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นใต้น้ำด้วย
ข้อมูลเผยให้เห็นว่ามีกลุ่มน้ำอุ่นขนาดใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นที่ระดับความลึกประมาณ 100 ถึง 250เมตรในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ภาวะโลกร้อนใต้น้ำนี้ถือเป็นปัจจัยที่สำ คัญที่ทำให้ปรากฏการณ์ลานีญาอ่อนกำลังลงและคาดการณ์ว่าจะนำไปสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญในอนาคต
3 ผลกระทบที่ตามมา : อาจเกิดความแห้งแล้งช่วงหลังกลางปี 2026 อากาศร้อนเพิ่มขึ้นและปริมาณน้ำฝนในช่วงฤดูมรสุมจะน้อยลงอาจนำไปสู่ความเสียหายทางเกษตรกรรมได้ หากไม่ได้มีการเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตรอย่างเพียงพอ ทั้งนี้ระดับความรุนแรงของผลกระทบ : 7/10
เอลนีโญ (El Niño) และลานีญา (La Niña) คือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ตรงข้ามกันในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและลมค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศโลกอย่างมาก โดยเอลนีโญคือน้ำอุ่นขึ้น ทำให้เกิดภัยแล้งในเอเชียและฝนตกหนักในอเมริกาใต้ ส่วนลานีญาคือน้ำเย็นลง (หรือปกติ) ทำให้ฝนตกหนักในเอเชีย (รวมไทย) และแห้งแล้งในอเมริกาใต้ ซึ่งทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ ENSO (El Niño-Southern Oscillation)