xs
xsm
sm
md
lg

แค่ถอยตั้งหลัก!อียูล้มแผนแบนรถสันดาป ต่อเวลาค่ายรถดั้งเดิมปรับเกมสู้บริษัทอีวีจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


นักวิเคราะห์เชื่ออียูแค่เบรกเกม เพื่อให้ค่ายรถดั้งเดิมมีเวลาปรับแผนต่อสู้กับผู้ผลิตอีวีจีนได้ดียิ่งขึ้น
นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญชี้ข้อเสนอของบรัสเซลส์ในการยกเลิกเส้นตายการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยสิ้นเชิงภายในปี 2035 เป็นการต่อเวลาให้ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของยุโรปขายรถปลั๊ก-อินไฮบริดและรถเครื่องยนต์สันดาปต่อไป พร้อมทั้งตั้งหลักใหม่สู้กับบริษัทจีน เชื่อระยะยาวอีวียังเป็นอนาคตสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคนี้

วันอังคารที่ผ่านมา (16 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผยแผนยกเลิกการแบนรถเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 หลังจากอุตสาหกรรมยานยนต์เดินสายล็อบบี้อย่างหนัก โดยเชื่อว่า การตัดสินใจนี้จะช่วยให้บริษัทรถในภูมิภาคสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ดีขึ้น

ภายใต้ข้อเสนอใหม่ที่ยังต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลของชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) และรัฐสภายุโรปนั้น รถใหม่ต้องลดการปล่อยไอเสียลง 90% จากระดับปี 2010 ภายในปี 2035 จากเดิมที่ต้องลดเต็ม 100% เท่ากับว่า ผู้ผลิตรถยังสามารถขายรถปลั๊ก-อินไฮบริดและ EREV ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปขนาดเล็กเพื่อรีชาร์จแบตเตอรี่ และแม้แต่รถเครื่องยนต์สันดาปได้ต่อไปหลังปี 2035

อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรถต้องชดเชยการปล่อยไอเสียที่เหลืออยู่ด้วยการใช้เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำในอียู และเชื้อเพลิงสังเคราะห์หรือเชื้อเพลิงชีวภาพที่ไม่ใช่อาหาร เช่น วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและน้ำมันทำอาหารที่ใช้แล้ว

นอกจากนั้นผู้ผลิตรถยังมีเวลา 3 ปีนับจากปี 2030-2032 ในการผลิตรถที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 55% จากระดับปี 2021 และ 40% สำหรับรถตู้ภายในปี 2030 จากเดิมที่กำหนดให้ลดถึง 50%

บรัสเซลส์ยังเสนอให้เครดิตพิเศษแก่อีวีขนาดเล็กที่ผลิตภายในยุโรป ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับสเตนแลนทิสและเรโนลต์ที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเล็กหลายรุ่น เช่น เฟียต 500 และคลีโอ

ให้เวลาไล่กวดจีน
ฟิล ดันน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษา แกรนต์ ธอร์นตัน สแต็กซ์ มองว่า คณะกรรมาธิการยุโรปยกเลิกแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปเพื่อเปิดทางให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคมีทางเลือกและโอกาสในการแข่งขัน ซึ่งตัวเขาเองหวังว่า ค่ายรถในยุโรปจะสามารถไล่ตามคู่แข่งจีนทันด้วยการนำเสนออีวีที่มีราคาที่แข่งขันได้

จุดยืนของอียูแตกต่างมากกับอเมริกาที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศยกเลิกการสนับสนุนอีวี

ปีที่ผ่านมา บรัสเซลส์เรียกเก็บภาษีศุลกากรอีวีที่ผลิตในจีน แต่ไม่อาจหยุดยั้งแบรนด์อย่างฉางอานได้ ขณะที่รถปลั๊ก-อินไฮบริดนำเข้าของบีวายดีและบริษัทจีนแห่งอื่นๆ ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร นอกจากนั้นบริษัทจีนอีกหลายแห่งยังส่งรถเครื่องยนต์สันดาปไปขายในหลายประเทศที่รวมถึงโปแลนด์ที่ยอดขายอีวียังน้อยมาก

ก่อนที่อียูจะประกาศยกเลิกการแบนรถเครื่องยนต์สันดาป บริษัทที่ปรึกษา เอลิกซ์พาร์ตเนอร์ ที่ไม่เชื่อตั้งแต่แรกว่า บรัสเซลส์จะแบนรถใช้น้ำมันนั้น คาดการณ์ว่า รถยนต์ไฟฟ้า 100% จะมียอดขายเพียง 62% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปี 2035

ทุ่มทุนมหาศาลออกแบบอีวี
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของบรัสเซลส์ส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้ผลิตรถและซัปพลายเออร์ที่ทุ่มทุนเป็นหมื่นล้านในการออกแบบอีวีและขยายกำลังผลิตโดยอิงกับนโยบายของอียูที่เพิ่งบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อสองปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม การเปิดโอกาสให้ค่ายรถดั้งเดิมได้ใช้เทคโนโลยีต่างๆ อาจส่งเสริมให้บริษัทเหล่านั้นร่วมมือกันพัฒนาอีวีราคาประหยัด เช่นการจับมือระหว่างฟอร์ดกับเรโนลต์ที่ประกาศเมื่อสองสัปดาห์ก่อนว่า จะร่วมกันพัฒนาอีวีขนาดเล็กในยุโรป

โจ สตีเวนสัน ซีอีโอแอนาไฟต์ สตาร์ทอัพของอังกฤษที่พัฒนาเทคโนโลยีการเคลือบขั้วแบตเตอรี่แบบแห้งที่อาจช่วยลดต้นทุนอีวี ชี้ว่า บริษัทรถจะร่วมมือและใช้แพลตฟอร์มร่วมกันมากขึ้น

อนึ่ง ก่อนที่อียูจะประกาศล้มแผนแบนรถใช้น้ำมันวันเดียว ฟอร์ดได้ประกาศบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ 19,500 ล้านดอลลาร์และเล็งยกเลิกการผลิตอีวีหลายรุ่น

นอกจากนั้น ทิม ฟาร์ลีย์ ซีอีโอฟอร์ด ยังเรียกร้องให้บรัสเซลส์เลือกนโยบายชัดเจนเพียงนโยบายเดียวและยึดมั่นนโยบายนั้นแทนที่จะเปลี่ยนใจทุก 2-3 เดือน ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนมีนาคม คณะกรรมาธิการยุโรปยอมให้ค่ายรถได้พักหายใจด้วยการขยายเส้นตายการปล่อยไอเสียที่เดิมกำหนดไว้ในปีนี้เป็นปี 2028 และ 9 เดือนต่อมาก็มีการแก้ไขเพิ่มเติมอีก

ฟาร์ลีย์สำทับว่า การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของอียูไม่เป็นผลดีต่อการวางแผนการลงทุนระยะยาว ซึ่งต้องการความแน่นอน

การยกเลิกแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 เกิดขึ้นหลังจากอียูถูกกดดันอย่างหนักจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เผชิญการแข่งขันรุนแรงกับเทสลาและรถยนต์ไฟฟ้าของจีน รวมทั้งการที่กระแสเปลี่ยนผ่านสู่อีวีล่าช้ากว่าคาด โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายรถใหม่ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในยุโรปอยู่ที่เพียง 16% ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมด

ในทางกลับกัน ผู้ซื้อรถทั่วโลกหันกลับมาสนใจรถเครื่องยนต์สันดาปมากขึ้น เนื่องจากการกลับลำนโยบาย สงครามการค้า และความไม่มั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐานของอีวี

คอนสแตนติน เอ็ม กัลล์ ผู้นำแผนกให้คำปรึกษาด้านการบินและอวกาศ การป้องกันประเทศ และยานยนต์ของ EY บริษัทตรวจสอบบัญชีและที่ปรึกษาชื่อดัง ชี้ว่า การเปลี่ยนนโยบายของภาครัฐเป็นผลมาจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าที่ช้ากว่าคาด

รายงานที่ EY เผยแพร่เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วระบุว่า ผู้ซื้อรถทั่วโลก 50% มีแผนซื้อรถเครื่องยนต์สันดาปใหม่หรือมือสองในช่วง 24 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2024 ขณะที่ความนิยมในรถไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่และไฮบริดลดลง 10% และ 5% อยู่ที่ 14% และ 16% ตามลำดับ โดยในบรรดาผู้ที่มีแนวโน้มซื้ออีวีนั้น 36% บอกว่า กำลังทบทวนการตัดสินใจหรือชะลอการซื้อออกไปเนื่องจากสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์
กำลังโหลดความคิดเห็น