xs
xsm
sm
md
lg

“ฮังกรี้ ฮับ” เผยกลยุทธ์รุก OTA เพิ่ม“พาร์ทเนอร์-ฟีเจอร์”สู่ภูมิภาค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการรายวัน360-“ฮังกรี้ ฮับ” เร่งผันตัวสู่ OTA วงการอาหารครบวงจร ทะยานสู่ภูมิภาค ขยายตลาดต่างประเทศ รุกมาเลเซีย หลังสำเร็จที่สิงคโปร์แล้ว ปีหน้ารุกอีก 2 ประเทศ เร่งหาพาร์ทเนอร์เพิ่มทั้งร้าอาหาร และพันธมิตรระบบต่างๆ เสริมแกร่ง


นายสุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Hungry Hub (ฮังกรี้ ฮับ) แพลตฟอร์มจองร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำแบบ One Stop Service รวมทั้งการตลาดแบบครบวงจร กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะผลักดันฮังกรี้ฮับก้าวสู่การเป็น ออนไลน์ ทราเวล เอเย่นต์ (ONLINE TRAVEL AGENT/OTA) ของวงการอาหารระดับภูมิภาคที่ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ด้านการจองร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังพร้อมยกระดับประสบการณ์การกินและการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆในการสร้างความแข็งแกร่งและความพร้อม รวมทั้งการขยายตลาดต่างประเทศด้วยเพื่อสร้างเครือข่ายและอีโคซิสเต็มให้สมบูรณ์มากที่สุด

โดยบริษัทมีแผนจะเพิ่มพันธมิตรระบบ OTA อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับ Trip.com หรือการเจรจากับรายอื่นเพิ่ม เช่น PointX ธุรกิจของ SCBX

ล่าสุดบริษัทได้ขยายธุรกิจของ ฮังกรี้ฮับ ไปยังประเทศมาเลเซีย เปิดเป็นทางการวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อผลักดันให้ฮังกรี้ฮับเติบโตในระดับภูมิภาคอาเซียน ตามแผนเดิมที่วางไว้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อเผชิญกับปัญหาสถานการณ์โควิด- 19 ระบาดอย่างหนักทั่วโลกในช่วงปี 2562 เป็นต้นมา ทำให้แผนงานต้องชะลอออกไปทั้งๆที่ได้มีการระดมทุนไว้เรียบร้อยแล้ว


กระทั่งสถานการณ์กลับมาดีขึ้น จึงได้เริ่มต้นขยายตลาดต่างประเทศอย่างจริงจังเริ่มต้นที่ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งปีเพื่อทดสอบและดำเนินการตลาด เพื่อให้มั่นใจว่าโมเดลดังกล่าวสามารถที่จะขยายและใช้ในต่างประเทศได้หรือไม่ หรือต้องมีการปรับเปลี่ยนอะไรบ้างเพื่อให้เป็นไปตามความเหมาะสมของตลาดแต่ละพื้นที่ ซึ่งผลปรากฎว่า การทำตลาดที่สิงคโปร์เป็นไปด้วยดี

ปัจจุบันในตลาดสิงคโปร์ ฮังกรี้ฮับ มีพันธมิตรร้านอาหารมากกว่า 250 ร้าน โดยลูกค้าใช้จ่ายประมาณ 75 เหรียญสิงคโปร์ ผลักดันให้ตลาดรวมเติบโต 30%-50% ต่อเดือน คาดว่าปีนี้ ร้านค้าในระบบที่สิงคโปร์จะมียอดขายรวมมากกว่า 20 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทในปีหน้า ส่วนในมาเลเซียมีร้านค้าพันธมิตรแล้วประมาณ 50 ร้านค้า

ในปีหน้าจะขยายธุรกิจไปยัง 2-3 ประเทศ ซึ่งกลยุทธ์การขยายตลาดต่างประเทศ นอกจากจะเป็นการสร้าง Network Effect ที่ทรงพลังให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยังเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการเติบโตจากบริษัทไทยสู่บริษัทระดับภูมิภาคในอนาคต


นอกจากแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ในปีนี้ Hungry Hub ยังได้มีการเปิดตัว 2 ฟีเจอร์ใหม่ ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ ฟีเจอร์การแสดงผลหลายสกุลเงิน (Multi-currency) ช่วยให้นักท่องเที่ยวเห็นราคาในสกุลเงินของตนเอง ซึ่งทำให้การตัดสินใจในการจองสะดวกและง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเอง ฟีเจอร์การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น (Dynamic Pricing) ตามดีมานด์ของลูกค้า ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถตั้งราคาได้ตามดีมานด์ของลูกค้า เช่น การตั้งราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่นั่ง (เช่น ทุก 10 ที่นั่ง เพิ่ม 5%) หรือการปรับราคาในช่วงเทศกาล (เช่น วาเลนไทน์, สงกรานต์) นอกจากนี้ยังมีระบบ AI ที่ช่วยแนะนำการปรับราคา โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้ AI ปรับราคาอัตโนมัติหรือให้เจ้าของร้านเป็นผู้อนุมัติการปรับเปลี่ยนราคาเอง

“Dynamic Pricing เป็นฟีเจอร์ที่เข้ามาทลายขีดจำกัดเดิมๆ ของร้านอาหาร ให้สามารถตั้งราคาได้อย่างยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกวัน ทุกเวลา หรือทุกนาที คล้ายๆ กับเวลาเราจองตั๋วเครื่องบินหรือที่พัก ถ้าเป็นช่วงพีค มีความต้องการสูง ราคาก็สูงตาม ผมมองว่า ถ้านำมาปรับใช้กับร้านอาหาร จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและจัดการกับดีมานด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร้านอาหารมิชลินหรือร้านที่มียอดจองเต็มตลอดเวลา สามารถเลือกเพิ่มราคา 30% สำหรับ 10 ที่นั่งสุดท้าย เพื่อเพิ่มมูลค่าจากดีมานด์ที่สูง หรือ ในวันศุกร์ที่ปกติจะมีการจอง 50 ที่นั่ง แต่หากฝนตกและมีการจองแค่ 10 ที่นั่ง ร้านก็สามารถลดราคา เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาทานมากขึ้น”


นายสุรสิทธิ์ กล่าวว่า ป้จจุบัน Hungry Hub มีร้านค้าพันธมิตรในไทย 2,200 ร้านค้า และตั้งเป้าว่าจะเพิ่มเป็น 3,000 ร้านค้าทั่วไทยในปีหน้า และแม้ว่าในปีที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารจะเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน Hungry Hub ยังสามารถช่วยพันธมิตรร้านอาหารสร้างรายได้กว่า 4,000 ล้านบาท และรักษาฐานผู้ใช้งานแอปพลิเคชันกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน โดยปัจจุบันลูกค้าต่างชาติคิดเป็นเกือบ 30-40% ของยอดขาย ลูกค้าหลักมาจากเอเชีย เช่น ฮ่องกง, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, และไต้หวันโดยมีปริมาณการบริการลูกค้าไปแล้วมากกว่า 5 ล้านที่นั่ง โดยร้านอาหาร 50% ที่อยู่บนฮังกรี้ฮับเป็นรูปแบบบุฟเฟ่ต์ ส่วน20% เป็นไฟน์ไดนิ่ง และที่เหลือเป็นประเภทอื่นๆ

สำหรับข้อมูลที่น่าสนใจเช่น การใช้จ่ายต่อบิลของคนไทยประมาณ1,100 บาท มีร้านอาหารที่ทำรายได้สูงบนฮังกี้ฮับ 1 ล้านบาท/เดือน มีปริมาณการใช้บริการฮังกรี้ฮับจองดีลต่างๆประมาณหลักแสนคนต่อเดือน มีการทานซ้ำเฉลี่ยคนละ 4 ครั้งต่อปี อีกทั้งยังมีลูกค้าประมาณ 10,000 คนที่ใช้บริการจองทานผ่านฮังกรี้ฮับประมาณ 14-15 ครั้งต่อปี ปีนี้ฮังกรี้ฮับเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติให้ร้านค้ากว่า 100 ร้านอาหารในไทย มีรายได้จากนักท่องเที่ยวมากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน
ทั้งนี้ปี2567 ที่ผ่านมา ฮังกรี้ฮับมีรายได้ 90 ล้านบาท มีกำไร 10 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้าหมายมูลค่าการซื้อขายบนแพลตฟอร์มประมาณ 1,100 ล้านบาท ขณะที่ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ 100-120 ล้านบาท มีกำไร 20 ล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้าหมายรายได้และกำไรเติบโต 50-60%


กำลังโหลดความคิดเห็น