ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ อวดผลงานแตกต่าง หลังไตรมาส 3 ผลงานสวย " เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) -เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ - เอสวีไอ"อวดรายได้และกำไรเติบโต หนุนให้ไตรมาส 4 สดใสต่อเนื่องถึงปี 69 ขณะ " ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส" กลับสวนทางทั้งรายได้และกำไรต่ำลง เหตุยอดขาย PCBA-PMS ลดอีกทั้งประสบปัญหาการหาพาร์ทเนอร์ OEM ในจีนเพื่อช่วยแก้ปัญหา โบรกฯ ประเมินปี 69 หุุ้น DELTA KCE และ HANA ผลงานจะสดใสไปในแนวเดียวกัน รับแรงหนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ AI เติบโต คาด HANA ฟื้่นปกติจากโรงหล่อในจีนแล้วเสร็จ
จากปัจจุบันของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ส่งผลให้การพัฒนาสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตลอดจนการผลิตสินค้าด้านนี้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับอานิสงส์จากเทรนด์ดังกล่าว รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ AI เพราะการเติบโตของ AI และยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นเสมือนพระเอกในภาวะที่ความต้องการชิ้นเหล่านั้นต่างได้รับผลดี แม้ว่าบางครั้งเกิดความผันผวนบ้างจากผลกระทบจากปัจัยภายนอกที่เข้ามากระทบก็ตาม และนั่น ก็ส่งผลต่อการดำเนินงาน
ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ของผู้ประกอบการธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 4 แห่งอย่าง บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA และบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA และบริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ที่แจ้งผลประกอบการออกมา พบว่า HANA ทำให้ผิดหวังเพราะกำไรต่ำลง สวนทาง DELTA - KCE และ SVI ที่ผลงานสดใสและโบรกเกอร์มองว่าผลการดำเนินงานของบริษัท 2 แห่งนี้จะดึขึ้นต่อเนื่องยาวไปถึงปี69
เชื่อ Q4ผลงาน DELTAโตแกร่งถึงปี 69
โบรกเกอร์หลายแห่งได้คาดการณ์แนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 4/68 ของบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA จะยังเติบโตต่อเนื่อง จากความต้องการของลูกค้าที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568-2569 ขึ้น โดยส่วนหนึ่งมีปัจจัยหนุนจากโรงงานใหม่ที่จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิต อย่างไรก็ตามมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันสูงกว่าราคาเป้าหมาย ดังนั้นจึงมีคำแนะนำเป็น "ถือ "และ"ขาย" เท่านั้น
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568-2569 ของ DELTA ขึ้น 6% และ 20% ตามลำดับ เป็นคาดกำไรปกติในปี 2568 อยู่ที่ 2.36 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เทียบปีก่อนและปี 2569 อยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% YoY โดยได้ปรับเปลี่ยนสมมติฐานสำคัญ ได้แก่ ปรับเพิ่มสมมติฐานรายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ปี 2568 เป็น 6.2 พันล้านเหรียญ (+35% YoY) จาก 5.6 พันล้านเหรียญ และรายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ปี 2569 เป็น 7.7 พันล้านเหรียญ (+25% YoY) จาก 6.8 พันล้านเหรียญ
พร้อมก้บปรับเพิ่มสมมติฐาน GPM 2569 เป็น 28.2% จาก 27.4% และปรับเพิ่ม SG&A 2569 ขึ้นเป็น 3.25 หมื่นล้านบาท หรือ 15% เทียบปีก่อน จาก 2.8 หมื่นล้านบาทอิงสมมติฐานล่าสุด โดยคาดเบื้องต้นไตรมาส 4/68 มีกำไรในกรอบ 7.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อนและ274% จากปีก่อนเติบโตเด่นจากปีก่อนฐานต่ำ
อย่างไรก็ตามคงคำแนะนำขายในหุ้น DELTA แต่ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2569 ขึ้นเป็น 160.00 บาท จากเดิม 120.00 บาท แม้บนประมาณการที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สมมติให้เติบโตถึง 46% ในปี 2569 ราคาหุ้นปัจจุบันก็ยังซื้อขายบน PERปี 2569 ที่ 82 เท่า หุ้นจะน่าสนใจที่ระดับราคานี้ หาก Liquid Cooling หรือสินค้าใหม่ๆในกลุ่ม AI หนุนให้ก าไรกลุ่มเติบโตที่ระดับ 70-100%
บล.ทิสโก้ คาดว่ายอดขายในไตรมาส 4 ของDELTA จะอยู่ที่ 2.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 66% เทียบปีก่อน และเพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อน ได้รับแรงหนุนจากความต้องการของลูกค้าที่แข็งแกร่ง การใช้กำลังการผลิตเพิ่มเติมเบื้องต้นที่โรงงาน Wellgrow และการย้ายฐานผลิตของโรงงาน DET8 (จากธุรกิจ mobility มายัง Power Electronics) ด้วยภาวะอ่อนแอของธุรกิจ mobility ยังคงมีอยู่หลังจากการยกเลิกสัญญาบางส่วนสัดส่วนธุรกิจ Power Electronics คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 72% ในไตรมาส 4 ปีนี้ จาก 66% ในไตรมาส 3 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 27.8% จาก 27.2% ในไตรมาส 3 ปี 68 และคาดว่าจะมีกำไรหลักไตรมาส 4 ปี 68 อยู่ที่ 8 พันล้านบาท จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568-2569 ขึ้น 12-24% สะท้อนการเติบโตของยอดขายที่ 36-28% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 26.9-28.3% แต่ยังคงคำแนะนำขาย ซึ่งได้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นมาอยู่ที่ 149.00 บาท จากเดิมที่ 115.50 บาท
บล.กสิกรไทย ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2569 ของ DELTA ขึ้น 23% เป็น 3.33 หมื่นล้านบาท และในปี 2570 ขึ้น 27% เป็น 3.90 หมื่นล้านบาท เพื่อสะท้อนยอดขายที่แข็งแกร่งขึ้นของผลิตภัณฑ์ด้านศูนย์ข้อมูลและการจัดการความร้อน โดยมองว่าในปี 2569 รายไจะเพิ่มขึ้น 15-20% มีแรงหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่, การขยายกำลังการผลิต และการกระจายธุรกิจไปยังระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว และระบบ CDU ภายในตู้เร็ก จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตราว 20% ของกำลังการผลิตปัจจุบัน ขณะที่โรงงานใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ได้ก่อสร้างเสร็จแล้วจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิต และโรงงานใหม่ 4 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมบางปูจะเริ่มดำเนินการในครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อรองรับการย้ายคำสั่งซื้อจากบริษัทแม่ โดยแนะนำถือ ให้ราคาเป้าหมายที่ 245.00 บาท
บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดกำไรปกติไตรมาส 4 ปี 68 ของ DELTA จะปรับขึ้นต่อเป็น 7.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 72.8% จากปีก่อน แม้คาดอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเทียบไตรมาสก่อน หลังไม่มีรายการกลับรายการสินค้าคงเหลือมากเหมือนในไตรมาส 3/68 อีก โดยฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี68-70 ขึ้นราว 7-17% โดยคาดปี 2568 จะโต 31.4% จากปีก่อน และเร่งขึ้นเป็นโต 38.8% เป็น 3.46 หมื่นล้านบาทในปี 69 และในปี 70 กำไรอยู่ที่ 4.08 หมื่นล้านบาท โดยแนะนำถือ ซึ่งได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 197.00 บาท
KCEฟื้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แนะเก็บเข้าพอร์ต
บล กสิกรไทย ผลงาน KCE คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 27.00 บาท เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ KCE โดยคงราคาเป้าหมายที่ 27.00 บาท ซึ่งอิง PER เป้าหมายที่ 27 เท่า หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ประมาณ +0.5SD ปัจจุบัน KCE ซื้อขายด้วย PER ปี 2568 ที่ 27 เท่า และ PBV ที่ 2.1 เท่า
โดยประเมินจากประเมินในปี 2569 จะมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 68 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก โดยยอดขายทั่วโลกเติบโต 5% เทียบปีต่อปี ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 และแนวโน้มเชิงบวกจากซัพพลายเออร์และผู้ผลิตรถยนต์ รวมทั้งการฟื้นตัวของยอดขายแผงวงจร HDI โดยได้รับแรงหนุนจาก backlog กว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และแผนขยายกำลังการผลิต HDI ภายในไตรมาส 2 ปี 2569 อีกทั้งรายได้เพิ่มเติมจากโครงการในกลุ่มอุตสาหกรรมทางทหาร ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้รวมราว 3% ในปี 2569 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดแผงวงจรพิมพ์ (PCB)
สำหรับเซิร์ฟเวอร์จะเติบโตอย่างรวดเร็ว และ KCE มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีในการผลิต PCB แบบหลายชั้นสำหรับเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูล แต่บริษัทฯ ระบุว่ายังไม่น่าจะเข้าสู่ตลาดนี้ เนื่องจากยังขาดความน่าเชื่อถือและฐานที่มั่นคงในกลุ่มนี้
นอกจากนี้ ยังมองว่าการขยายตัวของ GPM จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตของกำไรในปี 2569 ซึ่งKCE มีแผนที่จะปรับปรุง GPM ให้ดีขึ้น 3-4 ppt ผ่านการดำเนินการลดต้นทุน ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการเปลี่ยนเครื่องจักรเก่าที่ล้าสมัย การลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มระบบอัตโนมัติ การเปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์วัตถุดิบทางเลือก และการนำระบบการผสมสารเคมีมาใช้ภายในบริษัทฯ อีกทั้ง ลยังมีแผนเพิ่มเครื่องจักรชุบโลหะในไตรมาส 2 ปี69 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิต HDI ได้อีก 20%
บล.หยวนต้า มองว่า KCE จะฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป แนวโน้มเป็นบวกอ่อนๆ ผลประกอบการไตรมาส 3 ที่กำไรปกติอยู่ที่ 292 ล้านบาท (+63% จากไตรมาสก่อน, -24% จากปีก่อน) รายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ทำได้ 102.0 ล้านเหรียญ (+7.6% จากไตรมาสก่อน , -2.5% จากปีก่อน) หนุนจากการได้ผลิตสินค้า HDI สำหรับ Model ใหม่ที่ซับซ้อนขึ้นให้กับลูกค้า ขณะที่ GPM ทำได้ 21.4% เพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาสและปีก่อน จากการลดต้นทุนเคมี การลดจำนวนพนักงานแทนด้วยเครื่องจักร และการลดต้นทุนพนักงาน
สำหรับการปรับปรุงต้นทุนยังเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงกลางปี69 ต้นทุนพนักงานจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร และการปรับสายการผลิตด้วยเคมีใหม่ หากการปรับสายการผลิตแล้วเสร็จ บริษัทฯ คาดหวัง GPM จะเพิ่มขึ้น 300bps เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2568 จากโครงการดังกล่าว หากปัจจัยต้นทุนทองแดงและค่าเงินบาท/USD ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะ ขณะ Backlogs สิ้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 6.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนและกว่า 80% เป็นสินค้ากลุ่ม HDI
โดยคาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้รายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต -7% จากไตรมาส 3 ตามฤดูกาล แต่หมายถึงการเติบโตได้ราว +5% จาก ซึ่งเป็นการกลับมาเติบโตยอดขายครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาสแรกปี66 ขณะที่ Guidance GPM ที่ระดับ 21.0-22.0% ทรงตัวได้ในระดับสูง และ SG&A ลดลงจากการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและค่าที่ปรึกษากฎหมายในไตรมาส 3 ปี 2568 เป็นรายการครั้งเดียว 17 ล้านบาท และหาก KCE ทำยอดขายไตรมาส 4 ปีนี้ได้ราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ GPM ที่ระดับ 21.0% คาดเบื้องต้นกำไรปกติไตรมาส 4 ปีนี้ในกรอบ +/- 250 ล้านบาท
เป้าหมายปี 69 ปริมาณขายเติบโต 4-5% เทียบปีก่อน หลักๆ จากสินค้ากลุ่ม HDI เติบโต การขึ้นสินค้าใหม่ให้กับลูกค้า และการปรับเพิ่ม GPM จากการลดต้นทุนการผลิต การต่อรองราคาขายประจำปี 2569 ของลูกค้า คาดว่าจะให้ส่วนลดในกรอบ 2-3% ต่ำกว่าการลดราคาที่ให้ต้นปี 2568
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) แนะนำ "Neutral" หุ้น KCE ให้ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท/หุ้น และคาดประเมินกำไรใน 4 ปี2568 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่การเติบโตเทียบไตรมาสก่อนยังท้าทาย ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากโครงการลดต้นทุนน่าจะช่วยรักษาสมดุลของอัตรากำไรขั้นต้นใน 4 ปี68 ให้อยู่ระดับใกล้เคียงกับในไตรมาส 3 ปีนี้ (21.4%) แม้ว่ายอดขายใน 4 ปี68 จะมีแนวโน้มแผ่วลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจ่ายเป็นช่วงเทศกาลวันหยุด ขณะคาดว่าค่าใช้จ่ายSG&A จะยังคงสูงเนื่องจากโครงสร้างค่าใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงไปหลังการเข้าซื้อสำนักงานขายของบริษัทในอังกฤษ และ เยอรมนีแล้วเปลี่ยนมาเป็นบริษัทย่อย และ มีค่าใช้จ่ายบางรายการที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ดังนั้น จึงคาดว่ากำไรของ KCE ใน 4 ปีนี้จะอยู่ที่ 260-280 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่อาจจะลดลงจากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ ผู้บริหาร KCE คาดว่าอุตสาหกรรมจะฟื้นตัวขึ้นในปี 2569 แต่อาจจะไม่ดีเหมือนในอดีต โดยเฉพาะในกลุ่มยาน
ยนต์ (การแข่งขันสูงขึ้นจากค่ายรถจีน) โดยผู้บริหารตั้งเป้าอัตราการเติบโตของปริมาณยอดขายช่วง 4- 5% เทียบปีก่อน คาดราคาขายเฉลี่ยอาจจะเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนยอดขาย PCB เกรดพิเศษที่เพิ่มขึ้น แต่ก็อาจจะถูกหักล้างไปบางส่วนกับการลดราคา (ซึ่งตามปกติจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี) และทำให้ยอดขายโตช่วงเดียวกับการเติบโตของปริมาณยอดขาย ในขณะเดียวกัน บริษัทจะเน้นคุมต้นทุนซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 3.5% หลังจากที่ดำเนินกระบวนการเสร็จสมบูรณ์ (คาดว่าจะเสร็จในครึ่งหลังปี69F)
ดังนั้น คาดว่าผลประกอบการของ KCE จะฟื้นตัวขึ้น แต่ผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าประมาณการ ทำให้ปรับประมาณการกำไรเล็กน้อย จากธุรกิจหลักปี 2568-2569 ลง 11% และ2% ตามลำดับ แต่ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 70 ขึ้น 2% เนื่องจากคาดว่าบริษัทจะได้อานิสงส์อย่างเต็มที่จากการลดต้นทุนในปี 70 โดยการปรับประมาณการกำไรของเราเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นอีก 40-150bps การปรับเพิ่มสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายขึ้นอีก 1.2% เพื่อสะท้อนถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจ จึงปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี69 เป็น 23.50 บาท อิงจากPER ที่23.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีต -1.0 S.D) จากเดิม 24.00 บาท โดยแนะนำ “ถือ” KCE
SVIผลงานสวย กำไรขั้นต้น-รายได้อื่นสูงเกินคาด
บล.กสิกรไทย ประเมินหุ้น SVI หรือบริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน)แนะนำ “ถือ” TP ที่ 6.10 บาท เพื่อสะท้อนการปรับปีฐานการประเมินมูลค่าหุ้นจากกลางปี 69 ไปเป็นสิ้นปี 69 ราคาเป้าหมายอิงตาม PER ที่ 14 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี โดย ณ ปัจจุบัน หุ้น SVI ซื้อขายด้วย PER ปี 2568F ที่ 23 เท่า และ PBV ที่ 2.0 เท่า ซึ่งแสดงถึง upside ที่จำกัด
โดย คาดหวังแนวโน้มเชิงบวกในไตรมาส 4 หลังจากไตรมาส 3 แจ้งกำไรไว้ที่ 270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% เทียบปีก่อน และตัวเลขที่ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ 93% จากรายได้และ GPM ที่สูงกว่าคาด ปัจจัยหนุนการเติบโตเทียบปีก่อน มาจาก GPM ที่สูงขึ้น ขณะที่แรงขับเคลื่อนเชิงไตรมาสมาจากรายได้จากการขายและ GPM ที่ปรับตัวสูงขึ้น
ขณะผู้บริหาร KCE คาดรายได้จากการขายปี 68 ไว้ที่ 580 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 7% YoY ตามความต้องการที่ลดลงและความไม่แน่นอนทางการค้าในช่วงครึ่งแรกของปี 68 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกิจปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ขณะที่รายได้ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 20% เทียบไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ USD159mn ขณะที่ยอดขายไตรมาส 4 คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่160 ล้านดอลลาร์ฯ คำสั่งซื้อจากลูกค้าหลักในสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวขึ้นจากความชัดเจนด้านภาษีศุลกากรที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทร่วมทุน (JV) ด้านการผลิต PCB ของบริษัทฯ ยังคงเป็นไปตามกำหนด โดยตั้งเป้าที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในไตรมาส 3 ปี 69
โดย อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของ SVI ฟื้นตัวเป็น 9% ในไตรมาส 3 ปีนี้โดยได้รับแรงหนุนหลักจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นและ operating leverage ที่สูงขึ้นจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นก็ตาม การปรับตัวดีขึ้นดังกล่าวสะท้อนถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งช่วยลดต้นทุนคงที่ ผู้บริหารคาดว่า GPM จะปรับตัวดีขึ้นอีกในไตรมาส 4 ปี68 ภายใต้สมมติฐานที่ว่ารายได้ยังคงอยู่ในระดับปัจจุบันและเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรจากการส่งออก
บล.เคจีไอ ประเมินหุ้น SVI หลังทำกำไรไตจากธุรกิจหลักใน 3 ปี68 อยู่ที่ 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน และ 216% จากไตรมาสก่อน ดีกว่าประมาณการของ KGI 29% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น และรายได้อื่นสูงเกินคาด ในขณะที่ค่าใช้จ่ายภาษีต่ำกว่าที่คาดไว้ ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่ายอดขายที่ต่ำกว่าเป้า และค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงเกินคาดทำให้กำไรจากธุรกิจหลักในงวด 9 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 439 ล้านบาท ลดลง55% เทียบปีก่อน คิดเป็น 72% ของประมาณการกำไรเต็มปีของ KGI แนะนำให้นักลงทุนขายทำกำไรถ้าราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมาใกล้ราคา tender offer (7.50 บาท) ยังคงคำแนะนำ “ขาย” โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี2569 ที่ 5.40 บาท
HANAผลงานตก เหตุยอดขาย PCBA-PMS ลด
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 68- 69 ของHANA หรือ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) ลง 38% และ 16% ตามลำดับ เนื่องจากประมาณการเดิมสูงเกินไป เพราะการตั้งสำรองในธุรกิจ PMS สูงผิดคาด ตลาดจะกังวลกับการตั้งสำรองของ PMS ว่าจะผ่านจุดสูงสุดเมื่อไหร่ พร้อมประมาณการใหม่คาดว่าปี 68 HANA จะมีกำไรอยู่ที่ 570 ล้านบาท ลดลง 37% จากปีก่อน และปี 69 จะมีกำไรอยู่ที่ 838 ล้านบาท ฟื้นตัว 47% จากปีนี้
อย่างไรก็ดี บล.หยวนต้า ตั้งสมมติฐานให้ PMS ขาดทุนต่อในไตรมาส 4 ปี68 และขาดทุนราว 500 ล้านบาทในปี 2569 พร้อมปรับลดราคาเหมาะสมสิ้นปี 2569 ลงเป็น 21.80 บาทต่อหุ้น และปรับลดคำแนะนำเป็น “TRADING”
บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ประเมินหุ้น HANA ที่สร้างกำไรต่อหุ้นหลัก (EPS) ในไตรมาส 3 ปี68 ต่ำกว่าที่ บล.ซีจีเอส ฯ และ Bloomberg คาดการณ์ไว้ที่ 85%/86% แม้ว่าธุรกิจหลักของ HANA จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับตามที่คาดการณ์ แต่ด้านต้นทุนที่ย่ำแย่ของ Powermaster กลับส่งผลให้กำไรต่อหุ้นโดยรวมลดลงอย่างมาก จึงปรับลด HANA จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” และ ปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 21.7 บาท
บล.ทิสโก้ แนะนำ "ขาย"หุ้น HANA ราคาเป้าหมาย 18.60 บาท/หุ้น หลัง HANA แจ้งผลงานไตรมาส 3 กำไร 38 ล้านบาท ลดลง 27% จากปีก่อน และ 75% จากไตรมาสก่อน ต่ำกว่าที่ บล.ทิสโก้ และ Bloomberg consensus คาดการณ์ไว้ 82% และ 85% ตามลำดับ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อ่อนแอที่ 6.0% (เทียบกับ TISCO e ที่ 10.5% และ 9.8% ใน ครึ่งแรกปี 68 ) ซึ่งเชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำผิดปกตินี้เกี่ยวข้องกับผลขาดทุนจากการด้อยค่าเพิ่มเติมของธุรกิจ PMS เนื่องจาก HANA ยังคงประสบปัญหาในการหาพาร์ทเนอร์ OEM ในประเทศจีนเพื่อช่วยแก้ปัญหา
ขณะที่ต้นทุนโรงหล่อทั้งซิลิคอน (เริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปี 69) และซิลิคอนคาร์ไบด์ (ระบุและพัฒนาในไตรมาส 4 ปีนี้) รายได้ทางบัญชียังคงได้รับแรงหนุนจากผลตอบแทนจากการลงทุน และการดำเนินงานยังคงต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น จนกว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่โรงหล่อในจีนจะประสบความสำเร็จ HANA จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.2% ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 พ.ย. 2025 หลังจากปรับลดประมาณการกำไรลง 50-31% สำหรับปี 68-69 จึงปรับคำแนะนำจาก "ถือ" เป็น "ขาย"
ทั้งนี้ ยอดขายสอดคล้องกับประมาณการของทิสโก้ที่ 5.3 พันล้านบาท หรือ 647 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 7% เทียบปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจ PCBA ที่ลดลง 17% (โรงงานเจียซิง -30% จากปีก่อน และโรงงานลำพูน -16% จากปีก่อน ) จากการปรับรูปแบบไปสู่ระบบการฝากขาย (consignment model) ในขณะที่ IC ทรงตัวจากปีก่อน ธุรกิจไมโครอิเล็กทรอนิกส์ลดลง 25% สำหรับ PMS ยอดขายยังคงอ่อนแออยู่ที่ 2.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 39% เทียบปีก่อน และเพิ่มขึ้น55% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากกลยุทธ์การลดขนาด น่าเสียดายที่อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ลดลงอย่างมากเหลือ 6.0% (เทียบกับ TISCOe ที่ 10.5%, 6.2% ใน 3Q24 และ 9.4% ในไตรมาส 2 ปีนี้ ) ท่ามกลางความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและผลขาดทุนจากการด้อยค่าที่คาดการณ์ไว้ (มากกว่า 113 ล้านบาท) ที่ PMS ส่งผลให้มีขาดทุนจากการดำเนินงาน 66ล้านบาท เทียบกับกำไร 109 ล้านบาท และ 53 ล้านบาทในไตรมาสแรกและไตรมาส 2 ตามลำดับ
ดังนั้น การปรับคำแนะนำเป็น “ขาย” สำหรับ HANA โดยมูลค่าที่เหมาะสมกับ 18.60 บำท อ้างอิงจากการประเมินมูลค่าแบบสัมพัทธ์มูลค่าที่เหมาะสมของ HANA (จากเดิม 21.00 บาท) โดยอ้างอิงจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า(P/E) ปี 69 F ที่ 18.6 เท่า (-0.5 SD) โดยใช้วิธีการประเมินมูลค่าแบบสัมพัทธ์ ความเสี่ยงสำคัญคือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เปราะบางของจีน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ การพึ่งพาซัพพลายเออร์ PMS จากฝั่งตะวันตก และความเสี่ยงในการดำเนินการ PMS/FT1