xs
xsm
sm
md
lg

“พาณิชย์”ขึ้นทะเบียนข้าว GI ไทยแล้ว 24 รายการ เผย 9 เดือน ปี 68 ทำเงินกว่า 8 พันล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



กรมทรัพย์สินทางปัญญาขึ้นทะเบียนข้าว GI ไทย 24 รายการ จาก 31 จังหวัดทั่วประเทศ เผยช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม สะท้อนอัตลักษณ์ เพิ่มรายได้ให้กับชุมชนต่อเนื่อง ล่าสุดช่วง 9 เดือน ปี 68 สร้างมูลค่าเศรษฐกิจแล้ว 8,190 ล้านบาท ลุยเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น ทั้งคุมคุณภาพ ดันขายทั้งในและต่างประเทศ และต่อยอดนำเป็นวัตถุดิบระดับพรีเมียม

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้ตรวจสอบสถิติการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สินค้าข้าวไทย นับตั้งแต่ปี 2547 ที่เริ่มมีกฎหมายสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พบว่า มีการขึ้นทะเบียน GI ข้าวไทยไปแล้วรวมทั้งสิ้น 24 รายการ จาก 31 จังหวัดทั่วประเทศ คิดเป็น 10% ของจำนวนสินค้า GI ที่มีอยู่ทั้งหมด โดยการขึ้นทะเบียน ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าว แต่ยังช่วยสะท้อนคุณภาพ อัตลักษณ์ข้าว ในฐานะที่เป็นสินค้าคุณภาพที่มีเอกลักษณ์พิเศษเชื่อมโยงกับแหล่งผลิต ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำให้ข้าว GI เป็นที่ยอมรับ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) สามารถสร้างรายได้รวม 8,190 ล้านบาท

สำหรับข้าว GI ไทยที่สร้างมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.ข้าวหอมมะลิพะเยา สร้างมูลค่ากว่า 6,156 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่าสองในสามของรายได้สินค้า GI ในกลุ่มข้าว 2.ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ จาก 5 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ และสุรินทร์ สร้างมูลค่ากว่า 1,682 ล้านบาท 3.ข้าวหอมมะลิอุบลราชธานี สร้างมูลค่ากว่า 211 ล้านบาท 4.ข้าวก่ำล้านนา จาก 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ น่าน แพร่ พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำปาง และลำพูน สร้างมูลค่ากว่า 34.04 ล้านบาท 5.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ สร้างมูลค่ากว่า 30.72 ล้านบาท 6.ข้าวเบายอดม่วงตรัง สร้างมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท 7.ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ สร้างมูลค่ากว่า 13.38 ล้านบาท 8.ข้าวหอมปทุมธานี สร้างมูลค่ากว่า 10.81 ล้านบาท 9.ข้าวหอมใบเตยนครสวรรค์ สร้างมูลค่ากว่า 10.34 ล้านบาท และ 10.ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้ จากจังหวัดสระบุรี สร้างมูลค่ากว่า 9 ล้านบาท


ทั้งนี้ ข้าว GI ที่มีศักยภาพของไทย ไม่ได้มีเพียงที่กล่าวไปเท่านั้น แต่ยังมีข้าว GI อื่น ๆ ที่น่าสนใจและน่าจับตามอง เช่น ข้าวไร่หอมหัวบอนกระบี่ สินค้าข้าว GI ล่าสุดที่ได้ขึ้นทะเบียนในปี 2568 เป็นพันธุ์ข้าวไร่พื้นเมืองดั้งเดิมของจังหวัดกระบี่ ที่มีเอกลักษณ์คือเมื่อหุงสุกใหม่ข้าวจะนุ่มและมีกลิ่นหอมคล้ายเผือก หรือที่เรียกว่า “หัวบอน” ในภาษาใต้ “ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้” ของจังหวัดสระบุรี ที่มีปริมาณอะมิโลสสูง จึงเหมาะที่จะนำมาทำเป็นเส้นขนมจีน เพราะจะทำให้เส้นเหนียวนุ่ม ไม่ขาดง่าย “ข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์” จากเทือกเขาภูพาน ด้วยพื้นที่ปลูกมีอากาศเย็นแห้ง น้ำน้อย ส่งผลให้ข้าวเหนียวมีความนุ่มและหอมมาก เมื่อนึ่งสุกจะไม่แฉะติดมือ หากเก็บไว้ในภาชนะปิดหลายชั่วโมงก็ยังคงรักษาความอ่อนนุ่มไว้ได้ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และ “ข้าวฮางหอมทองสกลทวาปี” ของจังหวัดสกลนคร เป็นข้าวกล้องชนิดหนึ่งที่ผ่านกรรมวิธีการบ่มตามภูมิปัญญาของชาวภูไทที่สามารถรักษาคุณค่าทางโภชนาการและคงคุณภาพของข้าวไว้ได้ดี เมล็ดข้าวมีสีเหลืองทองอร่ามและมีกลิ่นหอมใบเตยอ่อนๆ เมล็ดข้าวไม่แตกหัก จมูกข้าวไม่หลุด มีรำข้าวและเส้นใยอาหารยังคงอยู่ในเมล็ดข้าวครบ เป็นต้น

นางอรมนกล่าวว่า กรมยังได้เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้า GI ไทย โดยการรับรองคุณภาพผ่านการอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์ GI เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่าเป็นข้าวจากแหล่งผลิตเฉพาะถิ่นที่มีชื่อเสียงและมาตรฐานชัดเจน ภายใต้ระบบควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดตั้งแต่แปลงนา โรงสี ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ ส่งผลให้โดยเฉลี่ยข้าวที่ได้รับ GI มีราคาขายเพิ่มขึ้นกว่า 40%

นอกจากนี้ ได้พัฒนาและผลักดันข้าวพรีเมียมถิ่นไทย เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ สู่ตลาดต่างประเทศที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการสินค้าคุณภาพสูง พร้อมดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมช่องทางจำหน่ายภายในประเทศ ผ่านโมเดิร์นเทรดและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าข้าว GI ได้หลากหลายช่องทาง รวมทั้งสร้างโอกาสและขยายช่องทางการตลาดในงานต่าง ๆ เช่น งาน GI Market งาน Thailand Rice Fest เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ได้ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อยกระดับข้าว GI จากวัตถุดิบสู่เรื่องราวท้องถิ่น ทั้งการพัฒนาเมนูอาหารไทยร่วมสมัยในร้านอาหารมิชลินและสถาบันสอนทำอาหาร เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต การเชื่อมโยงแหล่งปลูกข้าว GI เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและนวัตวิถี ตลอดจนการพัฒนาแบรนด์และบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย แต่ยังคงสะท้อนอัตลักษณ์ของแหล่งผลิตได้อย่างโดดเด่น ซึ่งช่วยเพิ่มทั้งมูลค่าและความภาคภูมิใจให้กับข้าวไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น