xs
xsm
sm
md
lg

"บิทคอยน์" ดิ่งสวนมติเฟด เผยกับดักสภาพคล่องและแรงขายสปอตฉุดตลาดคริปโต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีพลิกล็อกถล่มทลาย! Bitcoin (BTC) ทิ้งตัวหลุดโซน 90,000 ดอลลาร์ อย่างเหนือความคาดหมาย เมินข่าวดีธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หั่นดอกเบี้ย 0.25% ตามนัด นักวิเคราะห์ระดับโลกแห่ชำแหละสาเหตุลึก พบสัญญาณ ‘Liquidity Warning’ ที่น่ากังวล ชี้มาตรการเข้าซื้อพันธบัตร 4 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ตลาดหวังพึ่ง แท้จริงคือ ‘กับดัก’ ที่ไม่ได้ช่วยเติมเงินเข้าระบบจริง ซ้ำร้ายยังโดนหางเลขจาก ‘โรคระบาดหุ้นเทคฯ’ ฉุดรั้งความเชื่อมั่น ดับฝันแรลลี่ 1 แสนดอลลาร์ในระยะสั้น

การปรับฐานราคาล่าสุดของ Bitcoin ถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่สอนให้นักลงทุนตระหนักว่า “โครงสร้างตลาด” (Market Structure) มีอิทธิพลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยแม้หน้าฉากจะดูสวยหรูจากการที่เฟดลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ของปี พร้อมส่งสัญญาณยุติการขึ้นดอกเบี้ย แต่ราคากลับดิ่งลงสวนทางกับตำรา “ดอกเบี้ยต่ำ = คริปโตฯ พุ่ง” (Lower rates equal higher crypto) ซึ่งสะท้อนความผิดปกติของกลไกตลาดที่ซับซ้อนกว่าตาเห็น

ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และ Oracle (ที่มา: Eliant Capital)
เบื้องหลังความจริง ท่อส่งสภาพคล่อง ‘อุดตัน’

หัวใจสำคัญของการเทขายครั้งนี้อยู่ที่ความเข้าใจผิดมหันต์เกี่ยวกับปฏิบัติการของเฟด ตลาดกระทิง (Bulls) ต่างวาดฝันว่าการที่เฟดประกาศจะเข้าซื้อตั๋วเงินคลัง (Treasury bills) มูลค่าราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนหน้า คือรูปแบบหนึ่งของ “Quiet QE” หรือการแอบอัดฉีดเงินเงียบๆ

แต่ในมุมมองของโต๊ะค้าเงินสถาบัน (Institutional Macro Desks) กลับมองว่านี่เป็นเพียง “ภาพลวงตา” เพราะเม็ดเงินก้อนนี้มีไว้เพียงเพื่อบริหารจัดการงบดุล (Balance Sheet Runoff) ให้คงที่ ไม่ใช่การอัดฉีด “เงินใหม่” (Net-new Stimulus) เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแต่อย่างใด

ยิ่งไปกว่านั้น กลไกการส่งผ่านสภาพคล่อง (Transmission Mechanism) ยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ตราบใดที่เม็ดเงินยังคงนอนนิ่งอยู่ในบัญชี Reverse Repo (RRP) ของเฟด และไม่ไหลเข้าสู่ระบบธนาคารพาณิชย์เพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อ สินทรัพย์เสี่ยงอย่าง Bitcoin ก็จะไม่ได้รับอานิสงส์ที่แท้จริง ประกอบกับถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ที่ระบุว่าตลาดแรงงานเพียงแค่ “อ่อนตัวลง” (Softening) ไม่ใช่ “วิกฤต” ยิ่งตอกย้ำว่าเฟดกำลังบริหารจัดการแบบประคองตัว (Normalization) ไม่ใช่การกู้วิกฤต (Rescue) อย่างที่นักเก็งกำไรคาดหวัง

วันหมดอายุของออปชั่น Bitcoin (ที่มา: Deribit)
โรคติดต่อจากหุ้นเทคฯ เมื่อ BTC กลายเป็นเงาของ ‘AI’

อีกปัจจัยลบที่ซ้ำเติมสถานการณ์ คือการเปลี่ยนสถานะของ Bitcoin จาก “หลุมหลบภัย” (Safe Haven) กลายมาเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าความสัมพันธ์ (Correlation) สูงลิ่วกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะธีม Artificial Intelligence (AI)

เห็นได้ชัดจากกรณีหุ้น Oracle Corp. ที่ร่วงหนักหลังผลประกอบการและคำแนะนำด้านรายจ่ายลงทุน (Capex) ออกมาน่าผิดหวัง แรงเทขายดังกล่าวได้ลุกลาม (Contagion) ไปยังดัชนี Nasdaq-100 และดึง Bitcoin ให้ร่วงตามลงมาในทันที ราวกับเป็นร่างทรงของหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ (Mega-cap Tech) ที่ใช้น้ำในบ่อสภาพคล่องเดียวกัน

เจาะไส้ในกราฟ แรงขาย Spot ดุ-รายย่อยติดดอยเพียบ

สัญญาณที่น่าจับตาที่สุดมาจากองค์ประกอบของการเทขาย ข้อมูลจาก CryptoQuant ยืนยันว่าการร่วงลงครั้งนี้ “ไม่ใช่” การล้างพอร์ตฟิวเจอร์ส (Liquidation Cascade) เหมือนครั้งก่อนๆ แต่เป็นการเทขายจาก ตลาดสปอต (Spot-driven) โดยตรง ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนกำลังจงใจลดความเสี่ยง (De-risking) อย่างมีนัยสำคัญ

1. Leverage ต่ำ : อัตราส่วน Leverage (ELR) บน Binance ลดลงเหลือเพียง 0.163 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย บ่งบอกว่าตลาดไม่ได้ฟองสบู่แตกเพราะการกู้มาเทรด

2.Volatlity หดตัว : ตลาดออปชันส่งสัญญาณว่า Bitcoin กำลังเข้าสู่ภาวะแกว่งตัวในกรอบแคบ (91,000 - 93,000 ดอลลาร์) โดยค่าความผันผวนแฝง (IV) ลดฮวบ สะท้อนว่าผู้เล่นรายใหญ่มองว่าช่วงเวลาแห่งการเหวี่ยงแรงได้จบลงแล้ว

3. กับดักราคา : ข้อมูล On-chain จาก Glassnode เผยตัวเลขที่น่ากังวลว่ามี “การขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง” (Unrealized Losses) สูงถึง 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ใน Bitcoin ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของนักลงทุนที่เพิ่งกระโดดเข้ามาไล่ราคา (Late Entrants) กลุ่มคนเหล่านี้พร้อมที่จะเทขายใส่ทันทีเมื่อราคาดีดกลับมาเท่าทุน (Breakeven) กลายเป็นแนวต้านธรรมชาติที่กดดันตลาด

การขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี (ที่มา: Glassnode)
จบยุค ‘เงินง่ายๆ’ สู่เกมแห่งความอดทน

สถานการณ์ปัจจุบันชี้ชัดว่า ยุคทองของการเก็งกำไรหน้าข่าว (Front-running the pivot) ได้จบลงแล้ว Bitcoin ไม่ได้ร่วงเพราะเฟดล้มเหลว แต่ร่วงเพราะความคาดหวังของตลาดวิ่งนำหน้าความเป็นจริง (Reality) ไปไกลเกินกว่าที่ท่อส่งสภาพคล่องจะรองรับไหว

การฟื้นตัวในระยะต่อไป จึงจะไม่ใช่รูปแบบของการพุ่งทะยานด้วยแท่งเทียนสีเขียวแท่งเดียว (God Candle) แต่จะเป็นการ “ไต่ระดับอย่างเชื่องช้า” (Slow Grind) เพื่อเคลียร์ซัพพลายส่วนเกิน และรอให้สภาพคล่องไหลเข้าสู่ระบบอย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยความอดทนและกลยุทธ์ที่รัดกุมกว่าเดิม