ผู้จัดการรายวัน 360 - รุกตลาดเฮลท์แคร์ในไทย ทุ่มงบแรกกว่่า 10 ล้านบาท ลุยตลาด ปูพรมช่องทางรีเทลโมเดิร์นเทรด ท็อปส์ โลตัส และ ร้านบู้ทส์ พร้อมเจรจาขยายเพิ่มกับ วัตสัน เซเว่นอีเลฟเว่น และ ลอว์สัน108
นายคอรี ไบรอันท์ (Corey Bryant) ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ bpositive ผลิตภัณฑ์เฮลท์แคร์ เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ขยายตลาดผลิตภัณฑ์ของbpositive ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปิดแผล ดูแลแผล เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจและไทยถือเป็นตลาดใหม่ที่สุดแห่งหนึ่งหลังจากที่ได้ขยายไปในหลายประเทศแล้ว เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และเตรียมขยายตลาดไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ตลาดสุขภาพของไทยส่งเสริมให้ตลาดด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง อุตสาหกรรมบริการสุขภาพโดยรวมขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตทบต้นเฉลี่ย (CAGR) 5.3% ขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลบาดแผลเฉพาะทาง (Wound Care) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่พลาสเตอร์จนถึงเทปทางการแพทย์ คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 209.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 (CAGR 4.2%)
การเติบโตอย่างมั่นคงนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลต่อเนื่อง, การเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ต้องการการดูแลบาดแผลอย่างมีประสิทธิภาพ และกระแสใส่ใจสุขภาพและการป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา
“การมาเปิดตลาดในประเทศไทยเพราะผมมองเห็นจุดเปลี่ยนสำคัญในพฤติกรรมผู้บริโภคไทย ที่ก้าวจากการรักษาไปสู่การดูแลเชิงป้องกัน (Preventive Care) และการใส่ใจสุขภาพระยะยาว (Longevity) ไม่ว่าจะเป็นกระแสอาหารเสริมชะลอวัย (NAD+) การป้องกันผิวจากแสงแดด หรือเทรนด์เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์เพื่อสุขภาพสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิวและดูแลแผลสำหรับกลุ่ม Silver Generation เพิ่มสูงขึ้น"
เพื่อตอบโจทย์นี้ bpositive จึงวางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลแผล (Wound Care) ในเดือนธันวาคมปีนี้ ได้แก่ แผ่นปิดแผลชนิดดูดซับ, ผ้าก๊อซ, และพลาสเตอร์ปิดแผลหลากหลายชนิด ตามด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขอนามัย เช่น สำลีชุบแอลกอฮอล์ ถุงมือ และหน้ากากอนามัยในปีหน้า (พ.ศ.2569)
ผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทยนั้นมีหลากหลาย ซึ่งจะมีทั้งในแง่ของการป้องกันและการรักษาด้วย
แผนการรุกตลาดของ bpositive จะใช้งบประมาณสำหรับการเริ่มต้นบุกตลาดไทยไว้ที่ 10 ล้านบาท แบ่งเป็นการตลาด การประชาสัมพันธ์และดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง 3.75 ล้านบาท การวางระบบ (Set up cost) 2.5 ล้านบาท และการจัดตั้งทีมพัฒนาธุรกิจ 3.75 ล้านบาท โดยเน้นการบริหารแบบธุรกิจขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอีเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจภายใต้คอนเซ็ปท์ที่เน้นความแข็งแรงของการทำธุรกิจ
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายในไทยน้ั้นจะเน้นในช่องทางออฟไลน์โมเดิร์นเ ทรดเป็นหลัก โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในห้างค้าปลีกชั้นนำเช่น ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต, โลตัส และ ร้านบู้ทส์ เป็นต้น รวมมากกว่า 200 แห่ง ภายในปีหน้า(พ.ศ.2559) และอยู่ระหว่างการเจรจากับอีกหลายเชนรีเทลใหญ่ เช่น วัตสัน, เซเว่นอีเลฟเว่น และ ลอว์สัน108 เป็นต้น รวมไปถึงมีแผนที่จะเจาะเข้าขยายร้านขายยารายย่อยทั่วประเทศอีกด้วย ด้วยระบบการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายในปี 2560
“ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า bpositive จะเปิดตัวแคมเปญร่วมกับไมโครอินฟลูเอนเซอร์ การร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ไลน์ใหม่ เช่น Boo Boo Buddies และ Pride Plasters นอกจากนี้ bpositive ยังเป็นผู้บุกเบิกในการใช้ AI มาสร้างสรรค์ตัวการ์ตูนแอนิเมชันชุดใหม่ ทำให้สินค้าสื่อสารเรื่องราวที่เข้าถึงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป้าหมายระยะยาว คือก้าวสู่การเป็นแบรนด์เฮลท์แคร์ที่เป็นที่รัก สร้างสรรค์ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากที่สุดในประเทศไทย” นายคอรี กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายคอรี ยอมรับว่า การทำตลาดในไทยนั้นแม้จะเป็นตลาดที่มีศักยภาพแต่ก็มีการแข่งขันที่รุนแรงเช่นกันจากหลายแบรนด์ในตลาดทั้งโลคอแบรนด์กับอินเตอร์แบรนด์ต่างประเทศรายใหญ่ แต่ก็ถือเป็นความท้าทายที่ต้องมาต่อสู้มากับตลาดที่ถูกครอบครองโดยแบรนด์ระดับโลกและธุรกิจ MLM ยักษ์ใหญ่ แต่ bpositive มั่นใจในการสร้างความแตกต่าง ผ่านกลยุทธ์ 3 แกนหลัก: คุณภาพ นวัตกรรม และราคาที่จริงใจ
1. นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ท้องถิ่น (Localization): พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย เช่น พลาสเตอร์และแผ่นฟิล์มปิดแผลกันน้ำและแบคทีเรียที่ทนต่อความชื้นได้ดี
2. Price Strategy: วางราคาต่ำกว่าคู่แข่งประมาณ 10% เพื่อให้คนไทยเข้าถึงสินค้าคุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น
3. Digital Health Integration: วางตำแหน่งเป็น “โซลูชันในชีวิตจริง” ที่เชื่อมต่อกับบริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ โดยมีแผนพัฒนาระบบจัดส่งสินค้าด่วนภายใน 2 ชั่วโมงหลังได้รับคำแนะนำจากแพทย์
นายคอรี เปิดเผยว่า คาดการณ์ว่ารายได้ในตลาดประเทศไทยในปีแรก (พ.ศ. 2569) ที่ 25 ล้านบาท และตั้งเป้าเติบโตเป็น 2 เท่าในปี ถัดไป โดยความมั่นใจนี้ส่วนหนึ่งมาจากความสำเร็จในประเทศมาเลเซีย ที่แบรนด์สามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 46% ในช่องทางร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อชั้นนำกว่า 1,800 แห่ง
bpositive ก่อตั้งโดย คอรี ไบรอันท์ (Corey Bryant) ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์มากกว่า 25 ปี เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารที่บริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, สมิธแอนด์เนฟฟิว, และ โคโลพลาสต์ ครอบคลุมทั้งออสเตรเลียและอาเซียน