xs
xsm
sm
md
lg

วิจัยกสิกรฯ คงประมาณการ ศก.ไทยปี 69 ที่ 1.6% จับตาความไม่แน่นอนหลังเลือกตั้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ และเปิดทางสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่แบบเร่งด่วน ทำให้การเลือกตั้งใหม่จะต้องจัดให้มีขึ้นภายใน 45-60 วันนับจากวันที่ยุบสภา ซึ่งคาดว่าจะอยู่ระหว่างวันที่ 26 ม.ค.-10 ก.พ.69 การยุบสภาเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ตึงเครียด จากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจเผชิญญัตติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การยุบสภา ส่งผลให้การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน และรัฐบาลรักษาการมีอำนาจจำกัด โดยไม่สามารถอนุมัติโครงการใหม่ หรือที่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดถัดไปได้ ยกเว้นรายการที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี ขณะที่การอนุมัติการใช้งบกลางฉุกเฉินก็ไม่สามารถทำได้ เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อน ส่งผลให้หลายมาตรการ เช่น คนละครึ่งพลัส เฟส 2 และ โครงการส่งเสริมการออมผ่าน Thailand Individual Saving Account (TISA) ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ขณะที่การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ยังดำเนินต่อเนื่อง แต่การให้สัตยาบันสนธิสัญญาใหม่ ต้องชะลอออกไปก่อน

สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น จากการยุบสภาที่เกิดเร็วกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้ราวครึ่งเดือน ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2569 โดยยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2569 ที่ 1.6% การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 และโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วสามารถดำเนินต่อได้ ขณะที่งบกลางที่เหลือราว 5 หมื่นล้านบาท ได้ถูกนำไปรวมในประมาณการเศรษฐกิจแล้ว

อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายอาจล่าช้าออกไป และลักษณะการใช้จ่ายอาจเปลี่ยนแปลง ตามแนวทางของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารต่อไป ส่งผลให้คาดว่า GDP ไทยในไตรมาส 1/69 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากที่ประเมินไว้เดิม เนื่องจากขาดแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการ "คนละครึ่งพลัส เฟส 2" ซึ่งเดิมรัฐบาลตั้งใจจะเริ่มในช่วงต้นปีหน้า

อย่างไรก็ตาม คาดว่างบค้างใช้ จะถูกนำมาใช้หลังจากมีรัฐบาลใหม่ในช่วงไตรมาส 3/69 ส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาส 3/2569 อาจขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์เดิม ขณะที่ภาพรวมทั้งปี 2569 ยังคงประมาณการการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 1.6% ตามเดิม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ความไม่แน่นอนระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมถึงช่วงหลังการเลือกตั้ง อาจกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบาย การเบิกจ่ายงบประมาณ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้ภาคธุรกิจมีแนวโน้มเข้าสู่โหมดรอดูทิศทาง (wait-and-see)

นอกจากนี้ หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า หรือเกิดความไม่แน่นอนจากการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม อาจทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ชะลอตัว และอาจกระทบต่อการดำเนินงานของรัฐบาลชุดใหม่ ตลอดจนอาจเพิ่มความไม่แน่นอนต่อแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ซึ่งอาจมีผลต่อมุมมองด้านความน่าเชื่อถือของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยความเสี่ยงเหล่านี้ ได้ถูกสะท้อนไว้ในประมาณการเศรษฐกิจแล้วในระดับหนึ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น