กรณีศึกษาของบริษัท ไดกิ้น (Daikin) ที่มีประเด็นเรื่องการขอปรับเปลี่ยนสัญญาแจกทองคำเป็นรางวัลระยะยาวให้กับพนักงาน ถือเป็น #บทเรียนสำคัญของการบริหารความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดการเงิน หรือตลาดแรงงาน บทความนี้จะวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องเผชิญ พร้อมชี้ให้เห็นว่าทำไมการ "ดึงดัน" ในสัญญาเดิมจึงอาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงกว่าที่คิด
กับความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้!!! เมื่อ #สินทรัพย์ปลอดภัย กลายเป็น ระเบิดเวลา...
ทองคำถูกมองเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)" ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤต แต่สิ่งที่นักบริหารหลายคนมองข้ามคือ ความผันผวน (Volatility) ที่สูงลิ่ว
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวหรือมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาทองคำอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว และในทางกลับกัน หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือสงคราม #ราคาทองคำอาจพุ่งทะลุเพดาน อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา การที่ไดกิ้นผูกภาระผูกพันระยะยาวกับสินทรัพย์ที่ผันผวนเช่นนี้ โดยไม่มีกลไกป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ที่เพียงพอ ถือเป็น ความผิดพลาดในการประเมินความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial Risk Assessment) ของบริษัทอย่างร้ายแรง
#บทเรียนสำหรับไดกิ้น คือ
การที่บริษัทต้องขอเปลี่ยนสัญญา เท่ากับเป็นการ #ยอมรับความผิดพลาด ในการประเมินความเสี่ยงทั้งด้านผลประกอบการและราคาทองคำ บริษัทคำนวณต้นทุนผิดพลาดไปมาก เมื่อราคาทองพุ่งสูง ต้นทุนการจ่ายรางวัลก็สูงตามจนอาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดและงบดุลขององค์กร การตัดสินใจเปลี่ยนสัญญาแม้จะกระทบต่อขวัญกำลังใจ แต่ก็คือ การพยายาม ควบคุมความเสียหาย (Damage Control) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทในระยะยาว
มาถึง #ความเสี่ยงของแรงงาน เมื่อการ "ดึงดัน"อาจนำไปสู่การตกงาน
หากพนักงานยืนกรานที่จะให้บริษัทปฏิบัติตามสัญญาเดิม โดยไม่พิจารณาถึงสุขภาพทางการเงินขององค์กร อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงและเป็นความเสี่ยงที่แรงงานต้องรับผลกระทบด้วยตนเอง คือ
1. ความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัท (Financial Collapse)
หากบริษัทต้องแบกรับต้นทุนทองคำที่สูงเกินกว่ากำลังที่ทำกำไรได้ในปัจจุบันเป็นเวลานาน อาจทำให้บริษัทประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก จนถึงขั้นต้อง #ลดขนาดองค์กร (Downsizing) หรือ ล้มละลาย กระทั่งย้ายฐานการผลิต หากเกิดกรณีเช่นนั้น #รางวัลทองคำตามสัญญาจะไม่มีความหมาย เพราะพนักงานจะสูญเสียทั้งงานและรายได้หลักอย่างถาวร
2. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงในงาน (Job Insecurity)
แม้บริษัทจะไม่ล้มละลาย แต่หากต้นทุนการจ่ายรางวัลสูงเกินไป ผู้บริหารอาจตัดสินใจชดเชยด้วยการ ลดค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของพนักงาน เช่น
• ลดโบนัสและสวัสดิการอื่น ๆ ที่ไม่ถูกผูกมัดในสัญญา
• ชะลอการปรับขึ้นเงินเดือน หรือการจ้างงานใหม่
• การเร่งนำระบบอัตโนมัติ (Automation) เข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ เพื่อลดต้นทุนแรงงานในภาพรวม
นั่นหมายความว่า พนักงานที่ "ดึงดัน" อาจได้ทองคำตามสัญญา แต่ต้องแลกมากับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตึงเครียดขึ้น โอกาสเติบโตที่น้อยลง และความเสี่ยงที่จะ ถูกเลิกจ้างในอนาคต เมื่อบริษัทต้องปรับโครงสร้างเพื่อความอยู่รอด
กรณีนี้สอนให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างเข้าใจว่าในโลกธุรกิจ มี #ปัญหาบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrollable Factors)" เช่น อัตราดอกเบี้ยโลก สงคราม หรือราคาทองคำ
• สำหรับบริษัท:ต้องเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างจริงจัง และไม่สร้างภาระผูกพันระยะยาวที่ผูกติดกับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง โดยไม่มีแผนสำรองที่แข็งแกร่ง
• สำหรับแรงงาน: ต้องตระหนักถึง ความเสี่ยงระยะยาวของการพึ่งพาผลประโยชน์ระยะสั้น การเจรจาการปรับเปลี่ยนสัญญาที่สมเหตุสมผลเพื่อรักษาเสถียรภาพของบริษัท และ #รักษาความมั่นคงในอาชีพ (Job Stability) ไว้ อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการ บริหารความเสี่ยงส่วนตัว ในระยะยาว
ความมั่นคงที่แท้จริงของแรงงานไม่ได้อยู่ที่ "ทองคำ" ตามสัญญา แต่อยู่ที่ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงของตนเอง การพัฒนาทักษะเพื่อให้เป็นที่ต้องการของตลาด และการกระจายความเสี่ยงทางการเงินส่วนตัว เพื่อให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายจ้างก็ตาม.
บทความโดย ดร.มงคล ลีลาธรรม
อดีตประธานคณะกรรมการบริหาร สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
อ้างอิง https://www.facebook.com/share/p/1CbW65Yf4W/?mibextid=wwXIfr