xs
xsm
sm
md
lg

“มูจิ” ญี่ปุ่นยกไทยตลาดศักยภาพ สปีดสาขาเพิ่ม-ผุดแฟล็กชิบสโตร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการรายวัน 360 – บริษัทแม่มูจิที่ญี่ปุ่น ยกไทยตลาดศักยภาพ เติบโตเร็วเป็นโรลโมเดลแห่งหนึ่งของมูจิโลก สั่งลุยเต็มที่ เพิ่มอีก 20 สาขา ตามแผนใหม่ 5 ปี นำร่องผุดแฟล็กชิบสโตร์ใหญ่ที่สุด ที่เซ็นทรัลเวิลด์ไทย


นายซาโตชิ ชิมิซุ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้แทน บริษัท เรียวฮิน เคอิคะคุ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทแม่ของมูจิ ที่ญี่ปุ่น มองประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างมาก และถือเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งของมูจิทั่วโลก โดยเฉพาะในระดับอาเซียนนั้นไทยเป็นตลาดเติบโตมากที่สุดเร็วที่สุด ส่วนในระดับเอเชีย ไทยเป็นอันดับที่สี่ในแง่จำนวนสาขา รองจากจีนมีมากสุดมี 442 สาขา ไต้หวันมี 70 สาขา เกาหลีใต้ และไทยมี 40 สาขาแต่ขณะที่มูจิประเทศไทยเติบโตมากกว่าไต้หวันแล้ว

โดยบริษัทแม่วางเป้าหมายที่จะขยายการลงทุนการขยายสาขาในไทยเพิ่มขึ้นอีก ตามแผนลงทุน 5 ปีจากนี้ จะเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 20 สาขาในไทย รวมทั้งการพัฒนาปรับปรุงสาขาเดิมให้ทันสมัยมากขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งต้องสร้างผลประกอบการเติบโตมากกว่า 10% ต่อปี

ทั้งนี้ล่าสุด มูจิ ได้ตัดสินใยเปิดราานมูบจิแฟล้กชอบสดตร?ที่ไระเทศทไยที่ศ๊นยการรเซนทรัลเวิลด์ สาขาที่ 40 ของมูจิในประเทศไทย สะท้อนการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของแบรนด์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 ถึง พ.ศ. 2568 ซึ่งเปิดไปแล้วรวม 15 สาขาในช่วง 3 ปี และทำให้ปัจจุบันมูจิมีสาขาครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ มูจิมองว่าการเปิดแฟลกชิปครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเสริมความแข็งแกร่งในกรุงเทพฯ แต่ยังเป็นการสร้างอิมแพคในระดับประเทศ


เขาย้ำว่า สาเหตุที่เลือกเปิดแฟล็กชิบสโตร์ใหญ่ขนาดนี้ที่ไทย ยังงัยยังงัยก็ต้องเป็นที่ไทย ไม่ว่าจะในเชิงของธุรกิจ หรือเชิงสังคม เพราะไทยเป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่ง ตลาดค้าปลีกมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กำลังซื้อของผู้บริโภคสูง ผู้บริโภคมีความรู้เรื่องสินค้ามากขึ้น ตอบรับกับสิ่งใหม่ๆได้ดี ในเชิงสังคม คนไทยกับคนญี่่ปุ่นก็มีความคล้ายกัน

สำหรับแฟลกชิปสโตร์แห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3,700 ตารางเมตร ที่ชั้น 4 โซน I เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมคอนเซ็ปต์ “MUJI Meets วิถีชีวิตแบบไทย” ทำหน้าที่เป็น Global Hub สำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่่งสาขาแบบแฟลกชิบสโตร์ขนาดใหญ่อย่างนี้ที่ญี่ปุ่นก็มีที่เมืองนารา พื้นที่มากกว่า 6,000 ตารางเมตร ขณะที่ในจีนก็มีแฟล็กชิบสโตร์เช่นกันแต่ว่าขนาดพื้นที่เล็กกว่าของมูจิไทย


อย่างไรก็ตาม มูจิยังมีสาขาในต่างจังหวัดน้อยมากประมาณ 10 กว่าแห่งเท่านั้น แต่อนาคตมีแผนที่จะกระจายไปหัวเมืองใหญ่มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของตลาดแต่ละที่และทำเลที่ได้มาด้วย โดยเน้นเปิดในศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่่งพื้นที่เฉลี่ยของมูจิประมาณ 1,200 – 1,500ตารางเมตร หรือไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร ส่วนแผนการเปิดแบบสแตนด์อโลนนั้นเป็นเรื่องของอนาคต

นอกจากนั้นตลาดประเทศไทยยังเป็นตลาดที่สามารถเป็นเคสสตาดี้(Case Stydy)หรือกรณีศึกษาได้หลายประเด็น ที่นำเอาไปใช้เป็นแม่แบบในหลายประเทศได้เช่นกัน เช่นตัวอย่างของการพัฒนาสินค้าที่มีการออกแบบและผลิตที่ไทยและจำหน่ายที่ไทยโดยเฉพาะ จาก ซึ่งสินค้าที่ขายดีในไทยเช่น กลุ่มมเครื่องเขียน กลุ่มของกิน กลุ่มสุขภาพและความงาม อย่างไรก็ตาม สินค้าที่วางจำหน่ายในร้านปัจจุบันเป็นการนำเข้ามาประมาณ 71% และตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสินค้าเข้ามาอีก เป็น 80% โดยเฉพาะสินค้าที่ยังไม่ได้เข้ามาอีกหลายกลุ่่มหลายเอสเคยู นอกนั้นก็จะเป็นการพัฒนาบริการใหม่ๆในไทยเพื่อรองรับกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา


นายอกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุดของมูจิ และเป็นประเทศที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นการเปิดตัว MUJI Central World Flagship Store ไม่ได้เป็นเพียงการขยายสาขา แต่เป็นการลงทุนเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในไทยสู่มาตรฐานระดับโลก โดยนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทยมากขึ้น ทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่ การออกแบบพื้นที่ช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ และการนำเสนอบริการที่ครบถ้วนที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย เรามั่นใจว่าแฟลกชิปสโตร์แห่งนี้จะช่วยผลักดันให้ มูจิ ประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้าและปีต่อๆ ไป”

ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ตอกย้ำว่าตลาดไทยคือ Growth Engine ของ มูจิ (MUJI) มีสินค้าจำหน่ายครบทุกไลน์ในประเทศไทย สัดส่วนยอดขายสินค้าของ มูจิ ประเทศไทย แบ่งเป็น เครื่องแต่งกาย 49%, ของใช้ในบ้าน 47% และ อาหาร 4%

โดยกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะเติบโตมากที่สุดหลังการเปิดตัวแฟลกชิปสโตร์สาขานี้ คือ เครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะเสื้อผ้าคอตตอนและเสื้อผ้าลินินที่เป็นกลุ่มสินค้าหลักของมูจิ ตามด้วยกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและผลิตภัณฑ์เครื่องหอม ขณะที่หมวดขนมและอาหารสำเร็จรูป คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องได้ โดยเฉพาะสินค้าที่พัฒนาและจัดจำหน่ายเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย 


แฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่นี้ยังโดดเด่นด้วยการนำเสนอ Core Items ของมูจิอย่างครบถ้วนที่สุด ผ่านการจัดโซนสินค้าที่ชัดเจนและเป็นสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืด (T-shirts), Care Items, Fragrance หรือ Food & Snacks ให้ลูกค้าได้ทดลองและสัมผัสรายละเอียดของสินค้าอย่างใกล้ชิด ออกแบบด้วยโครงสร้างและฟิกซ์เจอร์ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด นำเสนอสินค้าที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะ ทั้งของใช้ในบ้านและขนมอาหารว่าง

นอกจากนี้ยังเป็นสาขาแรกในประเทศไทยที่มี Atelier MUJI พื้นที่สร้างสรรค์ที่ต่อยอดแนวคิดจาก MUJI Ginza ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นเวทีแห่งแรงบันดาลใจ การเรียนรู้ และการเชื่อมต่อระหว่างศิลปะ การออกแบบ และวัฒนธรรมร่วมสมัยผ่าน ผ่านกิจกรรม นิทรรศการ และโครงการพิเศษที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อีกหนึ่งจุดเด่นคือ นำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสะท้อนความเป็นไทยมาใช้ อาทิ ไม้สักเก่านำกลับมาใช้ใหม่ (Reclaimed Teak), อิฐรีไซเคิล, วัสดุผสมจากเศษกากกาแฟ และยังสะท้อนถึงการต่อยอดปณิธานด้าน Sustainability ของมูจิ ในการลดการใช้ทรัพยากรใหม่และให้คุณค่ากับวัสดุที่นำกลับมาใช้ซ้ำ โดยดีไซน์เหล่านี้ถูกผสมผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของมูจิอย่างเรียบง่ายและฟังก์ชันครบถ้วน เพื่อให้ร้านตอบโจทย์ทั้งคนเมือง คนไทยทุกภูมิภาค และนักท่องเที่ยว

ตั้งแต่ในช่วงปี 2568 เป็นต้นมา มูจิ ประเทศไทยเดินหน้าขยายสาขาใหม่มาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายอีก 10 สาขา ภายในปี 2573 ครอบคลุมกรุงเทพฯ และเมืองรองสำคัญ พร้อมปรับปรุงสาขาเดิมให้รองรับสินค้าครบทุกหมวดหมู่ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ของมูจิที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นในทุกสาขา










กำลังโหลดความคิดเห็น