ผู้จัดการรายวัน 360 – “ธนจิรา” เดินเกมขยายฐานตลาด 4 กลุ่มหลักเดิม ทั้งสินค้าใหม่ อีเวนต์ ช่องทางจำหน่าย ด้านแพนดอร่าตัวหลัก เตรียมเปิดตัว แบรนด์แอมบาสเดอร์ครั้งแรก แย้มปีหน้ามีแบรนด์ด้านความงาม จากญี่ปุ่นเข้ามาเพิ่มพอร์ตโฟลิโอ
นายธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TAN เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าเน้นการขยายธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตที่ยั่งยืนใน 4 กลุ่มหลักเดิม คือ
1. กลุ่มไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) มีสัดส่วนรายได้ลดลงจาก 53% เป็น 48% โดยมีแบรนด์แพนดอร่า (PANDORA )เป็นรายได้หลัก แบรนด์แคธคิดสตัน (Cath Kidston) และแบรนด์ไลฟ์ (Live)
2. กลุ่มแฟชั่น(Fashion) มีสัดส่วนจาก 22 % เพิ่มเป็น 26% มีแบรนด์หลักคือ มารีเมกโกะ( Marimekko) แบรนด์GANNI แบรนด์ United Arrows และ MM6
3. กลุ่มความงามและสุขภาพ (Beauty & Wellness) มีสัดส่วนจาก 18% เพิ่มเป็น 19% มีแบรนด์ หาญ (HARNN) แบรนด์ วุฒิ (Vuudh) แบรนด์ HARNN WELLNESS
4.กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเ(Food & Beverage) มีสัดส่วน 7 % เช่น ร้านแคธคิดส์ตันทีรูม และร้านอาหารในกลุ่ม Gordon Ramsay ที่มีทั้งหมด 3 ร้าน ได้แก่ Bread Street Kitchen & Bar 2 สาขา และ Street Pizza 1 สาขา
โดยในปีหน้ามีแผนที่จะเพิ่มแบรนด์ใหม่อีกอย่างน้อย 1-2 แบรนด์ ซึ่ง1 ในนั้นคือ แบรนด์เกี่ยวกับความงามจากญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ขณะที่ในปีนี้ มีแบรนด์ใหม่เข้ามา 3 แบรนด์ คือ กลุ่มแฟชั่น2แบรนด์คือ LIVE จากบราซิล เปิดร้านแรกที่เซ็นทรัลปาร์คสีลม แบรนด์เอ็มเอ็ม 6เปิดร้านแรกที่สยามดิสคัฟเวอรี่ และกลุ่มอาหารคือ แบรนด์สตรีทเบอร์เกอร์
ขณะที่แบรนด์เดิมก็จะมีการขยายธุรกิจต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของ สินค้าใหม่ กิจกรรม โปรโมชั่น ซีอาร์เอ็ม การขยายช่องทางจำหน่าย รวมทั้งการขยายตลาดต่างประเทศด้วย ซึ่ง แพนดอร่ายังคงเป็นสัดส่วนรายได้หลักกว่า 45% ของรายได้รวม รองลงมาคือ มารีเมกโกะ สัดส่วน 20% และ หาญ สัดส่วน 15% นอกนั้นที่เหลือรวมกัน
นายธนพงษ์ กล่าวถึงแบรนด์ แพนดอร่า ว่า เป็นแบรนด์ที่ทำรายได้หลักให้กับบริษัท มียอดขายเติบโตประมาณ 2%-3% แม้จะไม่มากนักแต่ก็สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ซึ่งเป็นผลมาจากการออกสินค้าใหม่ต่อเนื่องที่ตรงกับความต้องการตลาด และการปรับกลยุทธ์ตลาด
โดยมียอดซื้อต่อบิลที่่หน้าร้านแบบออฟไลน์เฉลี่ยที่ 6,000 บาท ขณะที่่ยอดขายออนไลน์เติบโตมาก 2 หลัก เฉลี่ยยอดซื้อต่อบิลออนไลน์อยู่ที่ 3,000 บาท และที่สำคัญมีฐานลูกค้าที่เป็น Gen Z เข้ามามากขึ้น สัดส่วนอยู่ที่ไม่ถึง 10% แต่กลุ่มเป้าหมายหลักยังคงเป็นระดับอายุ 18-50 ปี ซึ่งหน้าขายหลักของแพนดอร่าอยู่ํที่เดือนกุมภาพันธ์ 13% รองลงมาคือเดือนธันวาคม
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แพนดอร่าเติบโตน้อย เนื่องจาก สินค้าใหม่ๆที่มาจากต่างประเทศ ปกติจะมีประมาณ 50 กว่าเอสเคยูต่อคอลเลคชั่นเพื่อความหลากหล ายแต่ต้นปีนี้มีประมาณ 8 เอสเคยูต่อคอลเลคชั่นทำให้แพนดอร่ามีสินค้าทำตลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม ปีหน้าสินค้าจะมี 6 คอลเลคชั่นหลัก และจะมีปริมาณเอสเคยูมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการพิจารณาเลือกซื้อของลูกค้่าจะมองทั้งเรื่องของฟังชันนัลและอีโมชันนัลไปพร้อมกัน จากเดิมที่์ซื้อโดยใช้อีโมชันนัลเป็นหลัก
ทั้งนี้ปีหน้าบริษัทฯมีแผนตลาดเชิงรุกสำหรับแพนดอร่าเต็มที่ โดยเฉพาะการเปิดตัวแ บรนด์แอมบาสเดอร์แพนดอร่าหรือท่่เรียกว่า “Friend of Brand” คู่แรกของแบรนด์ที่เป็นคู่ดูโอ้สายวาย (Boys Love) เพื่อเจาะตลาด Gen Z ใช้เฉพาะที่่ตลาดไทยเท่านั้น จะมีการสื่อสารผ่าน KOLs มากขึ้น สร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย มีการจัดอีเวนต์กิจกรรมทั้งปี การทำซีอาร์เอ็ม และเปิดสาขาใหม่ 1-2สาขา และมีการรีโนเวทใหญ่แฟล็กชิบสโตร์ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ใหญ่ที่สุดพื้นที่ 100 ตารางเมตร โดยคาดว่าปีหน้า แพนดอร่าน่าจะเติบโตประมาณ 5%
ปัจจุบัน แพนดอร่ามีสาขาหน้าร้านรวม 53 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ กับปริมณฑล 41 สาขา และต่างจังหวัด 12 สาขา เช่น เชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น อุดรธานี พัทยา ศรีราชา ภูเก็ต สมุย และหาดใหญ่
โดยปีนี้เป็นปีที่แพนดอร่ามีอายุครบ 15 ปีแล้วในไทยถือเป็นแบรนด์แรกที่มาพร้อมกับบริษัท ที่ผ่านมาทำยอดขายเครื่องประดับรวมในไทยแล้วมากกว่า 5 ล้านชิ้น
ส่วนแบรนด์หาญ เติบโตดีอย่างมาก โดยเฉพาะในต่างประเทศอย่างจีนจากการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท ถือหุ้น 55% กับ พาร์ทเนอร์ ถือห้นุ 45% มีจุดขายแล้วมากกว่า่480 จุดขาย โดยขายผ่านเอเย่นต์ใน 12 มณฑล ปีหน้าวางเป้าหมายเติบโตมากกว่าปีนี้ 2 เท่า และขยายจุดขายให้ได้มากถึง 1,000 จุดขาย ซึ่งแบรนด์หาญในตลาดจีนจะกลายเป็น “New S-Curve” ของกลุ่มได้ไม่นานจากนี้
ส่วนตลาดในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเวียดนาม ก็ถือได้ว่ามีการพัฒนาและเติบโตในทางบวกต่อเนื่องโดยไตรมาส 3/2568 มีรายได้สูงสุดนับตั้งแต่เริ่มกิจการในสิงคโปร์และจีน
สำหรับผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม – กันยายน)ปี2568 มีรายได้รวม1,347 ล้านบาท เติบโต 7.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยรายได้ในไตรมาสที่ 3/68เติบโต 10.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ได้รับแรงหนุนสำคัญจากธุรกิจ HARNN Greater China ในประเทศจีนที่เติบโตโดดเด่นถึง 281% นับเป็นไตรมาสที่สร้างยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกิจการครบ 1 ปี สะท้อนถึงศักยภาพการบริหารเชิงรุกและความสามารถในการดำเนินงานตามแผนธุรกิจที่กำหนดไว้