ฉากสุดท้ายของ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ก้าวมาถึงแล้ว หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศเพิกถอนการเป็นบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากเปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จในงบการเงินปี 2566 ซึ่งอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น การตัดสินใจของนักลงทุนหรือการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น
ก่อนถูกเพิกถอนในวันที่ 27 ธันวาคมนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเปิดให้ซื้อขายหุ้นครั้งสุดท้าย 7 วันทำการ ระหว่างวันที่ 18-26 ธันวาคม โดยกำหนดให้ซื้อหุ้นด้วยเงินสดหรือบัญชีแคชบาลานซ์
หุ้น JKN ถูกพักการซื้อขายตั้งแตวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 หลังจากมีปัญหาฐานะการเงิน และชิงยื่นขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง โดยราคาปิดครั้งสุดทายอยู่ที่ 31 สตางค์
แม้ศาลล้มละลายกลาง เพิ่งมีคำสั่งเมื่อต้นเดือนธันวาคม แต่งตั้งบริษัทบริษัท แกรนท์ ธอนตัน สเปเชียลิสท์ แอ็ดไวซอรี เซอร์วิสเซส จํากัด เป็นผู้ทําแผนฟื้นฟูกิจการของ JKN แต่โอกาสฟื้นฟู ฯ บริษัทจดทะเบียนแห่งนี้แทบเป็นศูนย์ เพราะทรัพย์สินส่วนใหญ่ น่าจะถูกนายแอน จักรพงษ์หรือนายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทฯ ยักย้ายถ่ายเทออกไปหมด
JKN วันนี้น่าจะเหลือแต่ซาก เงินที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยถูกปล้น นายแอน จักรพงษ์ ได้หอบและหลบหนีคดีฉ้อโกงและคดีแต่งบัญชีงบการเงินออกไปต่างประเทศแล้ว
ผู้ถือหุ้นรายย่อย JKN ตามข้อมูลการปิดสมุดทะเบียนล่าสุด มีจำนวนทั้งสิ้น 21,390 ราย ทุกคนคงเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว หุ้นที่ถืออยู่ ไมว่าคนละจำนวนเท่าไหร่ ราคาคงมีค่าเท่ากับศูนย์
สิ่งที่ต้องตั้งคำถามกับตลาดหลักทรัพย์คือ ข้อมูลอันเป็นเท็จในงบการเงิน หรือการแต่งบัญชีงบการเงินนั้น เพิ่งเกิดขึ้นเฉพาะในปี 2566 เท่านั้น หรือเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ JKN จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 และตลอด 8 ปีที่เข้าตลาดหุ้น แต่งบัญชีมาทุกปีหรือไม่
ถ้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะตระหนักถึงความเสียหายของประชาชนผู้ลงทุน โดยเข็มงวดกับการพิจารณากลั่นกรอง บริษัทที่ยื่นของเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก ก่อนยื่นขอจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะการตรวจสอบประวัติและพฤติกรรมของผู้บริหาร
JKN คงไม่มีโอกาสเข้ามาสร้างความเสียหายในตลาดหุ้น และ”แอน จักรพงษ์” จะไม่มีโอกาสปล้นเงินของประชาชนผู้ลงทุนจำนวนหลายหมื่นชีวิต
เพราะคนที่เคยทำธุรกิจ เคยค้าขายกับ”แอน จักรพงษ์” รู้ดีว่า “แอน”เป็นพวกขี้โกง
ช่วงที่ ก.ล.ต. อนุมัติเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก และคลาดหลักทรัพย์รับเข้าจดทะเบียน คนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของ”แอน” รู้ไส้ในของบริษัทเป็นอย่างดี ต่างประหลาดใจว่า JKN หลุดรอดเข้าตลาดหุ้นได้อย่างไร ทั้งที่เป็นบริษัทที่ “กลวง” บัญชีลูกหนี้ค่าลิขสิทธิ์แต่งขึ้นมาทั้งสิ้น
แน่นอน การตะเพิด JKN พ้นตลาดหุ้น เป็นอีกโศกนาฏกรรมใหญ่ และมีนักลงทุนรายย่อยตาดำๆต้องเซ่นสังเวยอีกกว่า 2 หมื่นชีวิต แต่โศกนาฏกรรมจากหุ้นเน่า และวาระสุดท้ายเหลือแต่ซาก จะไม่จบที่ JKN เป็นหุ้นตัวสุดท้าย
เพราะจะมีหุ้นที่เหลือแต่ซาก รอตลาดหลักทรัพย์ตะเพิดตามมาอีกนับสิบๆบริษัท และหลายบริษัทกำลังอยู่ในอาการที่ร่อแร่เต็มที
โจทก์คือ ทำอย่างไรจึงจะป้องกัน ไม่ให้หุ้นเน่าๆ ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทหน้าขี้โกง เข้ามาระดมทุนและนำหุ้นเข้าจดทะเบียนได้
ประเด็นที่สำคัญคือ ผู้บริหาร ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ มีความรู้สึกตระหนัก ในความผิดพลาด ที่ปล่อยให้ JKN เข้ามาปล้นประชาชนผู้ลงทุนบ้างหรือไม่
และตื่นตัวที่จะหาแนวทางจะป้องกันแก้ไข ไม่ให้หุ้นเน่า ๆ หลุดเข้ามาอีกบ้างหรือไม่