สำนักงาน ก.ล.ต. โชว์ผลงานการบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก เผยตัวเลขคดีปี 2568 ทะยานแตะ 158 คดี ฟันผู้กระทำผิดไปแล้วกว่า 373 ราย สะท้อนประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมตลาดทุนที่รวดเร็วขึ้น พร้อมกางโรดแมป "3 ช่องทางเชือด" ทั้งอาญา-แพ่ง-ปกครอง ที่ใช้จัดการแก๊งปั่นหุ้นและทุจริตอย่างเด็ดขาด ล่าสุดเตรียมยกระดับองค์กรสู่ "พนักงานสอบสวน" เต็มตัว หวังบูรณาการ DSI-ตำรวจ สางคดี "High Impact" ปิดเกมไว สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
“การบังคับใช้กฎหมาย” (Enforcement) ถือเป็นหัวใจสำคัญและพันธกิจหลักที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด เพื่อรักษาเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการ “ยกเครื่อง” กระบวนการทำงานและออกมาตรการเชิงรุกหลายด้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและปิดคดีได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
เพื่อให้สาธารณชนและนักลงทุนเข้าใจถึงกลไกการทำงานเบื้องหลัง “ปฏิบัติการกวาดล้าง” ผู้กระทำผิดในตลาดทุน ก.ล.ต. จึงได้เปิดเผยกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทั้งระบบ เริ่มต้นตั้งแต่ “การตรวจสอบข้อเท็จจริง” ซึ่งเป็นขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อพิสูจน์ทราบการกระทำความผิด ภายใต้ระยะเวลาดำเนินการที่แปรผันตามความซับซ้อนของคดี แหล่งที่มาของหลักฐาน และปริมาณข้อมูลมหาศาล โดยยังคงยึดมั่นในหลักการ Due Process of Law ที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงและแสดงหลักฐานเพื่อความเป็นธรรม
เมื่อกระบวนการตรวจสอบสิ้นสุดและพบมูลความผิด ก.ล.ต. มีอาวุธสำคัญในการลงดาบผู้กระทำผิดผ่าน 3 ช่องทางหลัก ดังนี้
1. ดาบอาญา (Criminal Sanctions) มาตรการขั้นเด็ดขาดกระบวนการนี้ใช้สำหรับจัดการบุคคลที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง โดยดำเนินการได้ 2 รูปแบบ ได้แก่
1.1 การกล่าวโทษ (Criminal Complaint) โดย ก.ล.ต. จะทำหน้าที่ “ชงเรื่อง” ส่งต่อให้พนักงานสอบสวน (ตำรวจ/DSI) เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเสนออัยการสั่งฟ้องต่อศาลยุติธรรม แม้เรื่องจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่ ก.ล.ต. ยังคงเกาะติดและสนับสนุนข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
1.2 การเปรียบเทียบปรับ (Fine Settlement) สำหรับความผิดบางประเภทที่กฎหมายเปิดช่อง คณะกรรมการเปรียบเทียบสามารถกำหนดค่าปรับให้ผู้กระทำผิดชำระเพื่อยุติคดีได้
2. ดาบแพ่ง (Civil Sanctions) ยาแรง ปิดเกมไว ซึ่งมาตรการลงโทษทางแพ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2559 เพื่ออุดช่องโหว่ความล่าช้าในคดีอาญา โดยเน้นจัดการกับความผิดฐาน “ปั่นหุ้น” (Market Manipulation), “อินไซเดอร์” (Insider Trading) และการสร้างข้อมูลเท็จ
อย่างไรก็ตามการใช้กลไก คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) จะเป็นผู้กำหนดบทลงโทษ เช่น ปรับเงิน ชดใช้ผลประโยชน์ที่ได้รับ หรือห้ามเป็นกรรมการ/ผู้บริหาร หากผู้กระทำผิด “ดื้อแพ่ง” ไม่ยอมรับโทษ ก.ล.ต. จะยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งทันที พร้อมคิดดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระครบ
3. ดาบปกครอง (Administrative Sanctions) คุมกำเนิดผู้ประกอบการ ซึ่งใช้สำหรับจัดการผู้ได้รับใบอนุญาตที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ตั้งแต่การสั่งปรับ พักใบอนุญาต ไปจนถึงโทษสูงสุดคือ “เพิกถอนใบอนุญาต” เพื่อคัดกรองบุคลากรและองค์กรที่ไร้คุณภาพออกจากตลาด
ผ่าสถิติคดีพุ่ง "สะท้อนประสิทธิภาพการตรวจสอบ"
จากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 3 ปี พบว่ากราฟการดำเนินคดีของ ก.ล.ต. เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการตรวจจับที่เข้มข้นขึ้น
- ปี 2566 ดำเนินการแล้วเสร็จ 82 คดี (ผู้กระทำผิด 280 ราย)
- ปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 128 คดี (ผู้กระทำผิด 346 ราย)
- ปี 2568 (ณ 30 พ.ย. 68) ทะลุเป้าถึง 158 คดี มีผู้กระทำผิดรวม 373 ราย
เจาะลึกในปี 2568 พบว่ามีการกล่าวโทษทางอาญาถึง 48 คดี (114 ราย) โดยเน้นหนักใน 4 ฐานความผิดหลัก ได้แก่ การปั่นหุ้น/อินไซเดอร์, การทุจริต, การปกปิดข้อมูลสาระสำคัญ และการประกอบธุรกิจเถื่อน ขณะที่มาตรการลงโทษทางแพ่งมีจำนวน 22 คดี (119 ราย) ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเอาเปรียบผู้ลงทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์
บทบาท ‘พนักงานสอบสวน’ เต็มรูปแบบ
เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายให้เฉียบคมยิ่งขึ้น ก.ล.ต. กำลังผลักดันการแก้ไขกฎหมายครั้งสำคัญ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. มีอำนาจเป็น “พนักงานสอบสวน” ในคดีที่มีผลกระทบรุนแรง (High Impact Cases)
การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เกิดการบูรณาการร่วมกับตำรวจหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) อย่างไร้รอยต่อ โดยนำความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านตลาดทุนของ ก.ล.ต. มาผนวกกับอำนาจสอบสวน เพื่อลดขั้นตอนการทำงานและเร่งรัดคดีใหญ่ให้จบได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้กฎหมายดังกล่าวอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณา และคาดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในตลาดทุนไทย