เศรษฐกิจดิจิทัลได้กลายมาเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การค้าออนไลน์ซึ่งเคยมีมูลค่าราว 160,000 ล้านบาทกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขยับเข้าใกล้ยอดที่คาดการณ์เอาไว้ 1.6 ล้านล้านบาทในปี 2570 การขยายตัวนี้สามารถเห็นได้ชัดเจนจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของแบรนด์สินค้าเพื่อความงามและไลฟ์สไตล์ของผู้ประกอบการไทย ไปจนถึงเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยที่หันมาขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ช่องทางการค้าปลีกดิจิทัลนี้ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ลดต้นทุนการดำเนินงานและสามารถแข่งขันบนเวทีเดียวกับผู้เล่นรายใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “Journal” แบรนด์ผลิตภัณฑ์น้ำมันบำรุงผิวของไทยที่กำลังได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมียอดขายกว่า 60% มาจากช่องทางการค้าออนไลน์ อีกตัวอย่างที่สำคัญได้แก่ “Alto Coffee” ร้านคั่วกาแฟขนาดเล็กที่ก่อตั้งในปี 2553 และอาศัยเว็บไซต์ LINE Shop และแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ในการจัดส่งเมล็ดและแคปซูลกาแฟไปทั่วประเทศ กรณีเหล่านี้่ไม่ได้เป็นความบังเอิญ แต่กำลังสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์การค้าออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงไป รายงาน e-Conomy SEA 2023 ได้แสดงให้เห็นผู้บริโภคไทยกว่า 92% เคยซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ในขณะที่ SMEs ต่างใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นช่องทางในการเข้าถึงตลาดออนไลน์ของอาเซียนที่มีมูลค่าสูงถึง 230,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปกฎระเบียบหลายฉบับมีแนวโน้มที่จะทำให้สภาพแวดล้อมการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลของผู้ประกอบการรายย่อยมีความซับซ้อนและมีต้นทุนที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้าออนไลน์หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ
Mr. Ed Ratcliffe, Executive Director, Southeast Asia Public Policy Institute และ ดร. กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ร่างแนวปฏิบัติที่เพิ่งเสนอโดยคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และร่างพระราชบัญญัติเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลถือเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกฎระเบียบดังกล่าว ซึ่งกฎหมายทั้งสองฉบับอาจเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการโดยไม่จำเป็นจากกฎเกณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้วอย่างพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล
ข้อเสนอภายใต้กฎระเบียบใหม่บางประการอาจทำให้ต้นทุนในการปฏิบัติตาม (Compliance Cost) สูงขึ้น โดยไม่ได้เสริมสร้างการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความแข็งแกร่งขึ้น และอาจนำมาซึ่งข้อกังวลหลัก ได้แก่
· กฎระเบียบบางข้อสร้างภาระเกินความจำเป็นให้ธุรกิจโดยปราศจากหลักฐานที่แน่ชัดว่าเกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคหรือตลาดจริง
· หลายหน่วยงานอาจออกกฎระเบียบที่ควบคุมกิจกรรมเดียวกัน ส่งผลให้เกิดความซ้ำซ้อนและความไม่แน่นอนต่อภาคธุรกิจ
· การใช้ถ้อยคำทางกฎหมายที่กว้างหรือตีความได้หลายแง่มุม อาจเพิ่มภาระการปฏิบัติตามกฎระเบียบโดยไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
วิธีการกำกับดูแลที่เข้มงวดเกินความจำเป็น (Heavy-handed approach) เช่นนี้มีความเสี่ยงที่เพิ่มต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของธุรกิจดิจิทัลสูงขึ้น ซึ่งผลกระทบไม่เพียงแต่จะตกอยู่ที่ SMEs เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมและการลงทุนของแพลตฟอร์มดิจิทัลเองด้วย ซึ่งท้ายที่สุด อาจทำให้ผู้บริโภคต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นหรือมีทางเลือกน้อยลง
บทวิเคราะห์ของ Southeast Asia Public Policy Institute (SEAPPI) ชี้ให้เห็นว่า กฎระเบียบที่ถูกนำเสนอเหล่านี้อาจทำให้ SMEs ไทยที่ขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์สูญเสียรายได้ราว 5,000-12,000 ล้านบาท โดยสำหรับผู้ขายรายย่อย เงินเหล่านี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการจ้างพนักงาน ลงทุนในการทำการตลาดดิจิทัล หรือขยายสายการผลิต (Product Line) ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและการแข่งขันที่ดุเดือดจากผู้ขายในภูมิภาค ภาระที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้อาจทำให้การเติบโตของพวกเขาชะลอตัวลงยิ่งขึ้นไปอีก
การวิเคราะห์ของ SEAPPI ยังแสดงให้เห็นว่าต้นทุนการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สูงขึ้นอาจทำให้ผลผลิตโดยรวมของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยลดลงมากถึง 200,000 ล้านบาทภายในปี 2573 ซึ่งเป็นความสูญเสียที่เทียบเท่ากับการเติบโตของภาคดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม
การมีกฎระเบียบที่ชัดเจนคือความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่บทเรียนจากประเทศผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าการกำกับดูแลสามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้โดยไม่ฉุดรั้งการพัฒนานวัตกรรม ประเทศต่างๆ เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ใช้แนวทางที่ยืดหยุ่น ซึ่งรวมถึงการประเมินผลกระทบอย่างรอบด้านก่อนการนำมาตรการไปใช้ และการหารืออย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าใจว่ากฎระเบียบส่งผลต่อ SMEs ในทางปฏิบัติอย่างไร ประเทศเหล่านี้มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้การกำกับดูแลดิจิทัลมีประสิทธิผล คาดการณ์ได้ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด
ทั้งนี้ ประเทศไทยสามารถพิจารณาเส้นทางในลักษณะเดียวกันนี้ได้ โดยเมื่อผู้กำหนดนโยบายพิจารณากฎระเบียบใหม่ อาจจำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นสำคัญที่สามารถช่วยกำหนดทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาวได้ เช่น
1. การมุ่งเน้นไปยังปัญหาที่เกิดขึ้นจริง การกำกับดูแลควรพุ่งเป้าไปที่ความเสียหายที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และยังไม่มีกฎหมายในปัจจุบันที่ครอบคลุมถึง เพื่อไม่ให้เป็นการผลักภาระให้กับธุรกิจล่วงหน้า (Pre-emptive) โดยที่ยังปราศจากหลักฐานว่ามีพฤติกรรมที่จำเป็นต้องได้รับการกำกับดูแล
2. การประเมินผลกระทบในการออกกฎหมายอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะกำหนดข้อผูกพันใหม่ หน่วยงานกำกับดูแลควรประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยละเอียด เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายเข้าใจว่าข้อกำหนดนั้นอาจสร้างดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันต่อ SMEs โดยไม่ตั้งใจหรือไม่ ทั้งในแง่ของการทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรม
3. การสานต่อการหารือร่วมกับภาคธุรกิจดิจิทัลอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับธุรกิจประเภทอื่นๆ SMEs ต้องการความชัดเจนและความแน่ชัด ตลอดจนการหารืออย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงแค่การทำประชาพิจารณ์ครั้งเดียว แนวทางเหล่านี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่ากฎระเบียบใหม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
4. การเสริมสร้างการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ อำนาจหน้าที่ที่ซ้ำซ้อนอาจสร้างความไม่แน่นอนและเพิ่มภาระในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐจะช่วยให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจดิจิทัลได้
การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลของประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนจากการใช้งานเทคโนโลยีจากฝั่งผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการขับเคลื่อนโดยความคิดสร้างสรรค์และการปรับตัวของผู้ประกอบการในการนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้สร้างรายได้ ความก้าวหน้าของประเทศจึงขึ้นอยู่กับว่ากฎระเบียบดิจิทัลใหม่ๆ จะเข้ามาช่วยเสริมแรงและ ‘ติดปีก’ ให้กับการขับเคลื่อนนี้ หรือ ‘ฉุดรั้ง’ การเติบโตให้ช้าลงโดยไม่ได้ตั้งใจ ./