xs
xsm
sm
md
lg

เดินหน้าสู่ธุรกิจสีเขียวเต็มรูปแบบ! ‘แกร็บ’ รุก ESG ผสาน EV-พลังงานหมุนเวียน-AI ยกระดับบริการ มุ่งสู่ Carbon Neutral

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



 
คุณเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ บริษัท แกร็บประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา “iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย” เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 โดยเผยถึงแนวทางการดำเนินงานด้าน ESG ของ บริษัท แกร็บประเทศไทย ซึ่งมุ่งโฟกัสที่ Triple Bottom Line หรือ 3P ได้แก่ Performance  People และ Planet โดยเฉพาะด้าน Planet 
 
โดย Grab ตั้งเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2040 ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ การเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (Transitioning to low emission vehicles) การใช้พลังงานทดแทนในสำนักงานของ Grab (Renewable energy for Grab’s premises) การดำเนินธุรกิจและเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน (Sustainable business & tech practices) การลดและชดเชยคาร์บอน (Carbon avoidance & removal programmes) 
 
โดยกลยุทธ์แรกคือ การยกระดับ การสร้างการยอมรับและการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ปัจจุบัน Grab เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้าน EV ในประเทศไทย โดยเริ่มจากการสร้างแคมเปญ Grab Green View ตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ขณะเริ่มต้นโครงการ หลายฝ่ายต่างตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ของโครงการ EV ที่ดูเหมือนไกลตัว แต่ปัจจุบัน การยอมรับและอัตราการนำ EV มาใช้ในไทยสูงขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า principles การบริหารของ Grab เน้นการแก้ปัญหาเชิงอนาคต ตั้งแต่ต้นจึงสามารถวางระบบแพลตฟอร์ม EV ได้ตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้ปัจจุบัน Grab กลายเป็น Ride Hailing ที่มี EV ทั้งสองล้อและสี่ล้อมากที่สุดในประเทศ
กลยุทธ์ต่อมาคือ การใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ในอาคารสำนักงาน ปัจจุบัน Grab ดำเนินงานใน 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีนโยบายชัดเจนว่าจะ เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมดภายในปี 2040นอกจากนี้ยังผลักดัน ธุรกิจและเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดและร่วมรณรงค์รักษ์โลก 

“ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเวลาสั่ง Grab Food ก็จะเห็นว่า มีตัวเลือกให้เลือกว่า ไม่รับช้อนส้อม นี่ก็เป็นการช่วยลดขยะแล้วก็ลดมลพิษให้กับสังคมได้หรือแม้กระทั่งใน Mobility ก็จะมีให้ผู้เดินเลือกได้ว่า ต้องการ Prefer ที่จะเป็นรถ EV ก่อน ดังนั้นในระบบก็จะหารถ EV ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เป็นการช่วยกระตุ้นให้กับผู้บริโภคที่ต้องการรณรงค์ในเรื่องของพลังงานสะอาด ”

อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือ การชดเชยทางคาร์บอน (Carbon Offset) เพื่อเสริม ESG ของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ เน้นว่า การทำให้เป้าหมายเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ยังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะ “ต้นทุน” ของการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในไปสู่รถ EV ปัจจุบัน ผู้บริโภคยังต้องการใช้รถเดิมให้คุ้มค่าก่อน

“แม้กระทั่งองค์กรอย่างของ Grab เราใช้ Map ของบริษัทเจ้าอื่น จุดหนึ่งเริ่มเห็นว่า Map เริ่มไม่ตอบโจทย์ ยกตัวอย่างทุกวันนี้เวลาใช้ Google map หรือ Map อื่น ๆ จะไปห้างมันก็ปักหมุดได้แค่ว่า จะไปห้างนี้แต่มันไม่ได้บอกว่าไปประตูไหน ในขณะที่เวลาเรียกแล้ว Grab เราต้องการให้มันชัดเจนว่า คนขับจะมารับที่ทางออกหมายเลข 4 หรือว่าจะไปรับอาหารที่ชั้น 3 ต้องเดินอย่างไร ดังนั้น จะเห็นว่า Commercial Map บางทีไม่ได้ตอบโจทย์ในมุมขององค์กร ตอนนั้นถือว่า เป็นเรื่องใหญ่สำหรับ Grab มากเหมือนกันในการที่จะเปลี่ยนใจ ตัดสินใจที่จะสร้าง Map ของเราขึ้นมาเอง ก็ถือว่า เป็นต้นทุนในการเปลี่ยนผ่านใหม่ เทคโนโลยีใหม่ แต่ถามว่า ต้องกลั้นใจทำไหม ต้องกลั้นใจทำ เพราะว่าในระยะยาว ต้องการโฟกัสในการ Improve efficiency แล้วก็ Optimize cost ซึ่งก็อีกหนึ่งทางในการที่จะส่งเสริมเรื่องของ ESG”
 
“แต่ถามว่า พอมีปัญหาแล้วมันเกิดโอกาสขึ้นหรือเปล่า แน่นอน เกิดโอกาส เพราะปัจจุบันโอกาสที่เกิดขึ้นคือ Grab เป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดและมีรถ EV เยอะที่สุด นอกจากนั้นทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ดีและสมูธมากกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ”

นอกจากนี้ คุณเมธิณี กล่าวว่า บริษัทได้นำเทคโนโลยี AI  เข้ามาใช้ในหลายภาคส่วนของธุรกิจ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่ การให้บริการผู้บริโภค (Consumer-Facing Service) เทคโนโลยี (Technology) และการจัดการข้อมูล (Data)

ด้าน บริการในฝั่งผู้บริโภค โดย Grab มีผู้ใช้บริการจากหลายชาติและหลายภาษา ทำให้เกิดความท้าทายในการให้บริการด้านการสื่อสาร สำหรับการแปลภาษา ดังนั้นด่านแรกในเรื่องการแปลภาษา โดยการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการแปลภาษา ทั้งในส่วนของเมนูอาหาร Pick-up point และ Consumer service อื่น ๆ 
ในขณะเดียวกัน AI ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยีหลังบ้านของ Grab โดยช่วย ปรับปรุงเส้นทาง จับคู่ผู้ขับรถกับผู้ใช้บริการ และจัดการข้อมูลจำนวน

“ต้องบอกว่า AI เข้ามาช่วยอย่างมากในการทำให้ Grab มีความสามารถในการแข่งขันปัจจุบัน Grab มี Market Cap อยู่ที่ 25 Million USD มีผู้ใช้งานอยู่ประมาณ 45 ล้าน ลองนึกภาพดูว่า คนจำนวนนี้เรียกรถพร้อม ๆ กัน สั่งอาหารพร้อม ๆ กัน แน่นอนทุกอย่างต้องเป็น AI ทั้งนั้น ปัจจุบันหลังบ้านของ Grab มี AI มากกว่า 1,000 โมเดลในการที่จะมานำเสิร์ฟให้กับผู้ใช้บริการ เรานำมา Optimize เรื่องเส้นทางต่างๆ เพื่อให้สามารถแนะนำเส้นทางที่ประหยัดค่าโดยสารและลดการปล่อยคาร์บอนได้ พร้อม Matching System เพื่อให้คนขับไปส่งของหรือส่งพัสดุสามารถที่จะวิ่ง 1 เที่ยว ส่งได้หลาย ๆ ที่”
 
“ดังนั้น หลังบ้านเราก็จะมีการเทรนด์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะ Coding หรือ Algorithm เรามีการทำให้มั่นใจว่า เพื่อให้มั่นใจว่ามีประสิทธิภาพสูง และเหมาะสมที่สุดมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ทำเพื่อให้มั่นใจว่า บริการของ Grab เป็นบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้เรามีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่ง”

ด้าน การจัดการข้อมูล Grab ใช้ AI วิเคราะห์ Transaction อย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมา ธุรกิจสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจเทียบเท่ากับ 1% ของ GDP ประเทศไทย แสดงถึงมูลค่าและความสำคัญของข้อมูลมหาศาล
ตัวอย่างเช่น โครงการ EV Rental ร่วมกับพันธมิตร ใช้ AI วิเคราะห์แพทเทิร์นการขับรถไฟฟ้าเทียบกับรถสันดาป เพื่อนำไปปรับปรุงความปลอดภัย จัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น และวางแผนร่วมกับพันธมิตร รวมถึงวิเคราะห์ความนิยมของรถแต่ละรุ่น ทั้งสองล้อและสี่ล้อ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และต่อยอดเชิง Commercial ได้ดี

สุดท้าย คุณเมธิณีเน้นว่า “ก่อนที่จะพูดถึงกลยุทธ์ เราอาจจะต้องพูดถึงในมุมมองผู้บริการก่อน สำหรับองค์กรในภาคเอกชน วิสัยทัศน์ของผู้บริหารมีความสำคัญเป็นอย่างมากอย่างแรกเลย เราควรจะสังเกตก่อนว่า ผู้บริหารของเรา ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการแก้ปัญหาของอนาคตมากกว่าปัญหาของเมื่อวานหรือเปล่า ถ้าหากว่า ย้อนมองดูแล้วองค์กรเรา ทำไมผู้บริหารมัวแต่มองว่า มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น หรือจะแก้อย่างไร ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดให้องค์กรต้องรีบแก้ปัญหาในพาร์ท Autonomy หรือ Policy ต่าง ๆ ที่อาจจะยังไม่ชัดเจน จำเป็นต้องมีการกำหนดเพื่อให้มั่นใจว่า ทีมงานสามารถตัดสินใจและ Move Forward ได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถโฟกัสเรื่องของอนาคตได้”
 
“ส่วนที่ 2 คือภาคเอกชน ต้องเรียนรู้ที่จะล้มให้เร็วและลุกให้เร็วเวลาที่เราล้มแล้ว ต้องพยายามเรียนรู้ให้เลยว่า มันมีข้อผิดพลาดอะไร และนำสิ่งนี้ ไปต่อยอด เริ่มใหม่อีกครั้ง” 

กำลังโหลดความคิดเห็น