สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) จัดการเสวนาวิชาการหัวข้อ “อนาคตยานยนต์ไทย ปี พ.ศ. 2569 นโยบาย ทิศทาง และการแข่งขัน” โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองหลายด้าน หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการนำเสนอข้อมูลโดย สุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งสะท้อนสถานการณ์จริงของตลาดรถไทยและตลาดโลกในปีที่ผ่านมา
นายสุวัชร์ระบุว่า ปี 2024 ไทยยังคงอยู่ในอันดับ 10 ชาติผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกเช่นเดิม แต่ยอดผลิตปรับลดลงจากราว 1.4 ล้านคัน เหลือประมาณ 1.3 ล้านคัน เมื่อเทียบปีต่อปี ขณะที่ประเทศที่มียอดเติบโตส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม BRICS ได้แก่ จีน อินเดีย และบราซิล ตรงกันข้ามกับสหรัฐ เยอรมนี ฝรั่งเศส และญี่ปุ่นที่ตัวเลขร่วงลงพร้อมกัน
ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ยอดผลิตต่ำสุดคือปี 2020 จากผลกระทบโควิด (1.43 ล้านคัน) ส่วนปีที่ดีที่สุดคือ 2018 ที่ทำได้ถึง 2.17 ล้านคัน
แม้ไทยจะยังเป็นฐานการผลิตอันดับหนึ่งในอาเซียนปี 2024 ด้วยตัวเลขประมาณ 1.46 ล้านคัน แต่ยอดขายภายในประเทศกลับตกลงมาอยู่อันดับ 3 รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย สะท้อนกำลังซื้อที่หดตัวต่อเนื่อง
เหลือเวลาอีก 25 วันก่อนสิ้นปี คาดว่ายอดผลิตรถยนต์ปี 2025 จะปิดที่ 1.45 ล้านคัน แบ่งเป็น ส่งออก 9.5 แสนคัน และ ขายภายในประเทศราว 5 แสนคัน ชี้ชัดว่าไทยยังต้องพึ่งพาการส่งออกอย่างหนักเพื่อคงอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ยืนระยะได้ นายสุวัชร์เสนอความเห็นว่ารัฐบาลควรมุ่งสร้างนโยบายที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ “นโยบายระเบิดพลีชีพ” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม
ข้อมูลเฉลี่ยหลายปีระบุว่า การส่งออกของไทยกระจุกตัวใน 3 พื้นหลัก ได้แก่
ออสเตรเลีย 27–30%
-เอเชีย 27–29%
-ตะวันออกกลาง 28–30%
ยอดขาย 10 เดือนแรกปี 2025 พบการเปลี่ยนแปลงสำคัญในพฤติกรรมผู้บริโภค
-รถเก๋ง 319,583 คัน (+12.41%)
-กระบะ 117,857 คัน (-14.26%)
-PPV 34,810 คัน (+18.42%)
หากดูตามระบบขับเคลื่อน (Powertrain) รถเก๋งมีสัดส่วน
-น้ำมัน 33%
-ไฮบริด 36%
-ปลั๊กอินไฮบริด 2%
-รถไฟฟ้า BEV 28%
ขณะที่ตลาดกระบะยังพึ่งพาน้ำมันเกือบทั้งหมดถึง 99.5%
ข้อมูลการผลิตปี 2025 (10 เดือนแรก) ชี้ว่าไทยผลิตรถพลังงานทางเลือก (HEV/BEV/PHEV) รวม 54% แซงหน้ารถน้ำมันที่ 46%
ส่วนการจดทะเบียนเฉพาะรถพลังงานทางเลือกพบว่า
-ไฮบริด 51%
-รถไฟฟ้า BEV 41%
-ปลั๊กอินฯ 7%
ปัจจัยหลักที่คนไทยเลือกซื้อ BEV ในวันนี้ไม่ใช่ความกลัวว่าจะหาที่ชาร์จไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่เพราะต้องการ ลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ตามด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม