นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยกคณะผู้บริการ ก.ล.ต.หารือกับนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในช่วงเช้าวันนี้เพื่อติดตามและประสานความร่วมมือเกี่ยวกับการยึดและอายัดทรัพย์มูลค่ากว่า 10,165 ล้านบาทจากเครือข่ายผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี "ยิม เลียก-เบน สมิธ" ซึ่ง ปปง. ได้มอบข้อมูลเบื้องต้นตามที่ ก.ล.ต. ร้องขอ
พร้อมทั้งหารือเพื่อผลักดันการปรับปรุงกฎหมายและกฎเกณฑ์โดยเร็วเพื่อยกระดับการมีเครื่องมือตรวจสอบการทำธุรกรรมและการตรวจสอบเส้นทางเงินผ่านผู้ประกอบธุรกิจที่ทำหน้าที่ตัวกลาง (travel rule) การตรวจสอบผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (ultimate-beneficiary) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการจัดโครงสร้างในเชิงธุรกิจที่ซับซ้อน และการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรฐานการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (KYC/CDD) เพื่อประโยชน์ของ ก.ล.ต. ในการตรวจสอบการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการครอบงำกิจการ และ ปปง. ในการตรวจสอบความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินด้วย รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพระหว่างทั้ง 2 หน่วยงาน
นางพรอนงค์ กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีข้อสงสัยว่าเกี่ยวโยงกับเครือข่ายการกระทำผิดดังกล่าวว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของแต่ละบริษัทอย่างละเอียด และได้ประสานความร่วมมือกับ ปปง.เพื่อขอรับข้อมูลหลักฐานในการตรวจสอบหาผู้ถือหุ้นหรือผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง
ทั้งนี้ หน้าที่หลักของ ก.ล.ต. คือการกำกับดูแลและตรวจสอบบริษัทจดทะเบียนให้รายงานข้อมูลตามกฎเกณฑ์อย่างถูกต้อง หากพบว่ามีการกระทำความผิด หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะนำไปสู่การพิจารณาและดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
"ขอให้มีความมั่นใจว่าเราดำเนินการตามกระบวนการปกติของสำนักงานฯ เพื่อสร้างความมั่นใจในตลาดทุน โดยการจะดำเนินการทางกฎหมายได้นั้น เราจำเป็นต้องมีข้อมูลและการตรวจสอบที่ชัดเจน ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว และจะชี้แจงความคืบหน้าเมื่อได้ข้อยุติ" นางพรอนงค์ กล่าว
ด้าน นายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้น บจ.ในขณะนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นที่การทำธุรกิจของบริษัท แต่เป็นการตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นที่รายงานผ่านแบบ 246-2 นั้น สะท้อนถึงผู้ถือหุ้นที่แท้จริงหรือไม่ ก.ล.ต. ได้รวบรวมข้อมูลผ่านการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบความเชื่อมโยง โดยยืนยันว่าการทำงานไม่ได้รอให้ข้อมูลครบ 100% แต่จะทยอยตรวจสอบตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อเร่งรัดดำเนินการให้เร็วที่สุด
"ในกรณีผู้ถือหุ้นต่างประเทศ เราไม่มีข้อจำกัด เรามีความร่วมมือกับ ก.ล.ต. ต่างประเทศเพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน"นายธวัชชัย กล่าว
รองเลขา ก.ล.ต.กล่าวว่า ผู้ถือหุ้น บจ.มีหน้าที่รายงานข้อมูลการถือหุ้น ซึ่งเป็นหลักการที่สอดคล้องกับสากล อย่างไรก็ตามระยะสั้นต้องอยู่ที่ Gate Keeper ในการทำหน้าที่ตรวจสอบตัวตน หรือ ทำ KYC เพื่อระบุตัวตนได้ว่าผู้ที่มาซื้อ-ขายหุ้นเป็นใคร หากผลการตรวจสอบพบว่ามีการรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นไม่ถูกต้อง หรือถือหุ้นจนข้ามจุดที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) แต่ไม่ได้ดำเนินการ ก็จะมีความผิดและต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย
นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต.กล่าวถึงมาตรการสกัดกั้นการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการฟอกเงินว่า ก.ล.ต. ได้ดำเนินการปิดกั้นการกระทำผิดทั้ง 2 ช่องทางหลัก ได้แก่
แพลตฟอร์มต่างประเทศ: ประสานงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ภายใต้ พ.ร.ก. ไซเบอร์ฯ เพื่อปิดกั้นแพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับอนุญาตแต่เข้ามาชักชวนคนไทย
แพลตฟอร์มในประเทศ: ร่วมมือกับ DE และหน่วยงานอื่น ๆ ในการยกระดับมาตรการดูแลผู้ประกอบธุรกิจไทย และดำเนินการ ปิดกั้นบัญชีม้า ซึ่งสามารถระงับบัญชีต้องสงสัยได้แล้วกว่า 44,000 บัญชี
นอกจากนี้ เตรียมบังคับใช้ "Travel Rule" ตามกฎหมายของ ปปง.ที่กำหนดให้ต้องมีการเก็บข้อมูลผู้โอนและผู้รับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ
นายธวัชชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้ากรณีอดีตผู้บริหาร บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป [JKN] ที่หลบหนีการดำเนินคดีไปว่า ก.ล.ต. ได้ดำเนินการกล่าวโทษทั้งทางแพ่งและอาญาไปแล้ว และได้ประสานงานให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งล่าสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับเป็นคดีพิเศษแล้ว
ส่วนประเด็นที่อดีตผู้บริหารรายดังกล่าวหลบหนีไปต่างประเทศ ก.ล.ต.ไม่ได้มีอำนาจสั่งห้ามการเดินทางออกนอกประเทศตั้งแต่แรก และกฎหมายระบุว่าต้องมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี ซึ่ง ณ เวลาที่มีการกล่าวโทษ ไม่ได้พบว่ามีพฤติการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต.ก็ไม่ได้นิ่งเฉย ได้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะสามารถให้การสนับสนุนหรือความร่วมมืออย่างไรเพื่อติดตามตัวกลับมาดำเนินคดีให้ได้