เมธา พีรวุฒิ
BBLAM
เวียดนามกำลังเผชิญความเสี่ยงด้านภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าที่เคยคาดคิด ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ไต้ฝุ่นและน้ำท่วมใหญ่เกิดถี่และรุนแรง จนกลายเป็นบททดสอบสำคัญต่อความสามารถของประเทศในการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงระบบ ปีนี้เพียงปีเดียว มูลค่าความเสียหายจากพายุถูกประเมินว่ามากกว่า 85 ล้านล้านดอง หรือราว 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ในปีก่อนหน้า เวียดนามเผชิญความสูญเสียจากภัยธรรมชาติรวมสูงกว่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกระทบต่อชีวิตประชาชนมากมาย เหล่านี้ล้วนสะท้อนชัดว่า “ความเสี่ยงจากน้ำท่วมในเวียดนาม” ไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะปี หรือความผันผวนระยะสั้นอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง” ที่ต้องรีบจัดการ
สาเหตุสำคัญมาจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเวียดนามเอง ประเทศมีชายฝั่งทะเลยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร เมืองใหญ่และศูนย์กลางเศรษฐกิจจำนวนมากตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำและพื้นที่ราบลุ่ม ทั้งกรุงฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ ดานัง รวมถึงเมืองมรดกโลกอย่างเว้ งานวิจัยหลายฉบับ ระบุว่า เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ออุทกภัยสูงที่สุดในภูมิภาคและเป็นอันดับต้นๆ ในโลก โดยประชากรราว 46% อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมสูง ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากยังถูกออกแบบบนสมมติฐานของ “สภาพอากาศในอดีต” ซึ่งเริ่มไม่เพียงพอรองรับเหตุการณ์ฝนสุดขั้ว (extreme rainfall) ที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้งขึ้น
เหตุการณ์ในช่วงปี 1-2 ปีที่ผ่านมา ยิ่งขยายภาพนี้ให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น ไต้ฝุ่นยางิ (Yagi) ในปี 2024 ถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในพายุที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเวียดนาม จังหวัดดั๊กลัก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ของโลกต้องเผชิญน้ำท่วมหนักและความล่าช้าในการเก็บเกี่ยว ส่งผลกระทบไปถึงห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรระดับโลกที่สะท้อนความเปราะบางต่อความแปรปรวนของภูมิอากาศในปัจจุบัน
เมื่อมองลึกเข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานของเวียดนาม จะเห็นว่า ระบบหลายส่วนยังต้องถูกยกระดับและเร่งการลงทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงทางภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น ระบบระบายน้ำในเมืองใหญ่อย่างฮานอยและโฮจิมินห์ ส่วนใหญ่ยังอิงมาตรฐานการออกแบบในยุคที่ปริมาณฝนและระดับน้ำหลากต่ำกว่าปัจจุบันมาก เมื่อปริมาณฝนสะสมเกินกว่าที่โครงสร้างเดิมรองรับได้ เมืองจึงเผชิญน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง
ปรากฏการณ์ “น้ำท่วมเมือง” กลายเป็นสัญญาณเตือนถึงช่องว่างด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องเร่งพัฒนา เพื่อรับมือกับภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป
ในระดับมหภาค รายงานจากธนาคารโลก (World Bank) เตือนว่า หากเวียดนามไม่เร่งลงทุนด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) อย่างจริงจัง ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) อาจสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงถึง 12–14.5% ของ GDP ต่อปีภายในช่วงกลางศตวรรษนี้ และประเทศอาจต้องการเงินลงทุนกว่า 254 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2040 เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ตัวเลขเหล่านี้ใหญ่พอที่จะเปลี่ยน “ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม” ให้เป็น “ความเสี่ยงด้านการเติบโต” ของเศรษฐกิจ
เวียดนามในสายตานักลงทุนสถาบันทั่วโลก
มิติที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ คือ ผลกระทบต่อฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานระดับโลก เวียดนามสร้างความโดดเด่นในฐานะศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่ของเอเชีย ด้วยแรงงานต้นทุนแข่งขันได้ ตำแหน่งที่ตั้งเชื่อมโยงตลาดโลก และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า ราว 34% ของนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามตั้งอยู่ในจังหวัดชายฝั่งที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูง เมื่อรวมกับความเสี่ยงจากคลื่นความร้อน (heatwave) ที่ส่งผลให้เกิดเหตุไฟฟ้าดับในบางช่วง และทำให้ประสิทธิภาพการผลิตลดลง โดยเฉพาะในภาคอิเล็กทรอนิกส์และเสื้อผ้า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ ความเสี่ยงด้านภูมิอากาศจึงเริ่มกลายเป็นตัวแปรสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งโรงงานของผู้ผลิตระดับโลก
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงไม่ได้หมายความว่า ทั้งประเทศไม่มีจุดแข็ง หรือไม่มีตัวอย่างของการปรับตัวเชิงรุก หนึ่งในกรณีศึกษาที่ได้รับการพูดถึงมากคือ โครงการนิคมอุตสาหกรรม Deep C ในเมืองไฮ ฟอง (Hai Phong) ที่ยกระดับมาตรฐานและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยการออกแบบให้สอดรับกับ Climate Risk อย่างจริงจัง ผ่านความร่วมมือกับวิศวกรจากเนเธอร์แลนด์ในการออกแบบระบบระบายน้ำและภูมิทัศน์แบบใหม่ แทนการพึ่งพาโครงสร้างคอนกรีตเพียงอย่างเดียว พื้นที่ภายในนิคมถูกออกแบบให้มีคลองเปิดโล่งเชื่อมต่อกัน ทำหน้าที่คล้ายแม่น้ำขนาดเล็ก ลดระดับถนนบางส่วนเพื่อเร่งการระบายน้ำ แนวคิดแบบ “nature-based solution” เช่น การใช้พื้นที่ชุ่มน้ำและพื้นที่สีเขียวภายในโครงการทำหน้าที่เป็นแหล่งหน่วงและกักเก็บน้ำ ร่วมกับการออกแบบระบบระบายน้ำที่สอดรับกับความเสี่ยงน้ำท่วมนี้ ทำให้นิคมอุตสาหกรรมนี้ สามารถดึงดูดบริษัทข้ามชาติ อย่าง Tesa จากเยอรมนี ให้ตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงาน มูลค่าราว 57.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในพื้นที่ดังกล่าว
ในระดับนโยบาย ภาครัฐเวียดนามเองเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น รัฐบาลเร่งผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการขุดลอกและปรับปรุงคลองบา โลน (Ba Lon) ในโฮจิมินห์ซิตี้ มูลค่าราว 9.2 ล้านล้านดอง เพื่อเพิ่มความสามารถในการระบายน้ำของเมือง ควบคู่กับการจัดการปัญหาน้ำเสียและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในชุมชนโดยรอบ
ระบบการเงินของเวียดนามก็เริ่มมีบทบาทชัดเจนขึ้นเช่นกัน ธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam) และธนาคารพาณิชย์ชั้นนำหลายแห่ง เริ่มให้ความสำคัญกับการเงิน เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) และ Climate Risk ให้เข้าไปในกระบวนการปล่อยสินเชื่อและการประเมินคุณภาพของลูกหนี้อย่างจริงจังมากขึ้น แนวโน้มนี้จะบีบให้บริษัทขนาดใหญ่และผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมต้องยกระดับการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ รวมถึงจัดทำแผนด้านความยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้ยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราที่แข่งขันได้ในสายตาสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม Asset owner และ Fund manager ที่ให้ความสำคัญกับ ESG ในระดับเชิงกลยุทธ์ การประเมินเวียดนามในวันนี้ จึงไม่อาจยึดติดกับคำถามแบบเดิมว่า ประเทศเติบโตเร็วแค่ไหน หรือค่าแรงยังถูกพอหรือไม่ หากแต่ต้องเพิ่มคำถามใหม่ว่า “ทรัพย์สินและห่วงโซ่อุปทานที่ประเทศและบริษัทเหล่านั้นพึ่งพาอยู่ มีความเปราะบางต่อ Climate Risk แค่ไหน และเวียดนามกำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางใดในแง่ของความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงนี้” นักลงทุนจำนวนมากเริ่มนำแบบจำลอง Climate Scenario Analysis มาใช้ประเมินความเสี่ยงเชิงพื้นที่ (location-specific physical risk) ทั้งระดับจังหวัด นิคมอุตสาหกรรม และทรัพย์สินสำคัญของบริษัท การมีข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับทำเลที่ตั้ง ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ระบบป้องกันน้ำท่วม การทำประกันภัย และแผนลงทุนด้าน Flood resilience จึงกลายเป็นปัจจัยหนึ่งในการให้ “ส่วนลดหรือส่วนเพิ่มมูลค่า” (discount / premium) แก่บริษัทจดทะเบียนแต่ละราย
สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญสำหรับเวียดนามในสายตานักลงทุน คือ ประเทศจะสามารถรักษาบทบาท “ศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค” ไว้ได้เพียงใดในยุคที่ Climate Risk กำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจโลก ประเทศที่ดึงดูด FDI ได้มากที่สุดในศตวรรษที่ 21 คงไม่ใช่ประเทศที่มีแต่แรงงานราคาถูก หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จูงใจที่สุดเท่านั้น แต่ต้องเป็นประเทศที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า มีโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น ระบบเตือนภัยและแผนรับมือที่น่าเชื่อถือ และมีสถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลที่จริงจังกับการบูรณาการ Climate Risk เข้าสู่การตัดสินใจในทุกระดับ
ทั้งนี้ หากเวียดนามสามารถเร่งบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ภาคการเงิน และผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับมาตรฐานด้านความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ ประเทศก็มีโอกาสพลิกจาก “ความเสี่ยง” ให้กลายเป็น “ข้อได้เปรียบเชิ