แม้ว่า Government Shutdown ของสหรัฐฯ สิ้นสุดแล้วแต่ยังมีข้อมูลเศรษฐกิจบางเดือนขาดหายไป ขณะที่ตลาดคาดว่ามีโอกาสสูงที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Open Market Committee : FOMC) จะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบสุดท้ายของปี ระหว่างวันที่ 9-10 ธันวาคม 2568 โดยคณะกรรมการฯ ที่ไม่สนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดดอกเบี้ย สาเหตุหนึ่งมาจากความกังวลเกี่ยวกับหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มี valuation ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดี หากพิจารณาระดับการเคลื่อนไหวของดัชนี NASDAQ ในช่วงที่ผ่านมานี้ยังต่ำกว่าช่วง Dot-com peak ในปี 2543 ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้าของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักแนะนำให้การกระจายพอร์ตออกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ไปยังตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging market)
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET Index ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ลดลง 4.0% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า มาปิดที่ 1,256.69 จุด สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นโลก และยังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสามของปี 2568 และสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/68 ขยายตัว 1.2% ชะลอลงจาก 2.8% ในไตรมาสสอง จากการส่งออกและท่องเที่ยวชะลอตัว รวมทั้งการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคและการลงทุนภาครัฐปรับลดลง รวมทั้งเงินบาทแข็งค่าส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทจดทะเบียนในเกือบทุกหมวดธุรกิจอย่างชัดเจน นอกจากนี้ สถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ที่เกิดขึ้นนอกเหนือความคาดหมายส่งกระทบเพิ่มเติมต่อภาวะการลงทุน
อย่างไรก็ดี ยังเห็นเงินทุนไหลเข้าในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาการขายสุทธิของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จะลดลงในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี
ณ สิ้นเดือน พ.ย.2568 SET Index ปิดที่ 1,256.69 จุด ปรับตัวลง 4.0% จากเดือนก่อนหน้า และลดลง 10.2% นับตั้งแต่ต้นปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มการเงิน
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 34,323 ล้านบาท ลดลง 22.4% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมอยู่ที่ 41,908 ล้านบาท
ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 12,559 ล้านบาท ส่งผลให้มียอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีที่ 113,298 ล้านบาท
ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 54.20% ของมูลค่าการซื้อขายรวม
ตามด้วยผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ 29.06% ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ 10.88% และบริษัทหลักทรัพย์ 5.85%
เดือนพฤศจิกายน 2568 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. กลุ่มสมอทอง (SMO) และ บมจ. มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) (MRDIYT) ใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล (MMM) และ บมจ. ลอนดรี้ ยู (WASH)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ระดับ 11.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 11.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 16.4 เท่า
อัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ระดับ 4.01% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.93%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนพฤศจิกายน 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 329,001 สัญญา ลดลง 19.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures SET50 Index Futures และ Gold Online Futures ส่งผลให้ ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 413,695 สัญญา ลดลง 14.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures