xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มเดินเรือฟื้นแบบค่อยเป็นค่อยไป หวั่นสงครามทะเลแดง-ช่องแคบฮอร์มุซฉุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ธุรกิจเดินเรือหรือขนส่งทางทะเลแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการขยายช่องทางการค้าและพัฒนาเส้นทางด้วยการเขื่อมโยงทั้งระบบ แถมรับผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคาดการค้าระหว่างประเทศจะเติบโต หนุนการใช้บริการสูงขึ้น ขณะต้นทุนอาจลดลงตามราคาน้ำมันแต่ยังมีความผันผวน อีกทั้งความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งความไม่สงบในทะเลแดงและช่องแคบฮอร์มุซยังต้องติดตาม รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรงตลอดจนค่าระวางที่ปรับลด ถือเป็นแรงกดดัน ส่วนการขนส่งสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิมีแนวโน้มเติบโต ขณะ บจ.แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาส่วนมากผลงานกระเตื้องและบางบริษัทดีต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เน้นคุมทุนและเพิ่มช่องทางเดินเรือรับความต้องการลูกค้า 


วิจัยกรุงศรีประเมินทิศทางธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเล มองว่าธุรกิจบริการขนส่งทางทะเลของไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2568-2570 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากไทยมีการขยายช่องทางการค้าสู่ตลาดใหม่ และการเติบโตของการค้าออนไลน์ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่เชื่อมโยงเส้นทางโลจิสติกส์ทั้งระบบ และการพัฒนาเส้นทางขนส่งที่เชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยผู้ให้บริการขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มอุปทานเรือเพื่อรองรับอุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า
แม้ว่า รายได้ของธุรกิจอาจถูกจำกัดจากต้นทุนการขนส่งอาจปรับสูงขึ้นเป็นระยะ ,ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ ,การแข่งขันของธุรกิจจะมีความรุนแรงขึ้นจากการรวมกลุ่มของสายเรือต่างชาติ อุปทานเรือใหม่อาจเพิ่มขึ้นในอัตราเร็วกว่าอุปสงค์ และภาระการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปฏิบัติตามเกณฑ์ IMO 2023 ที่เข้มงวดขึ้นด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการระดับหนึ่ง

โดยแบ่งตามประเภทเรือคือเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์รายได้ของผู้ให้บริการทั้งกลุ่มเจ้าของเรือ สายการเดินเรือ และผู้บริการจัดการขนส่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกกระตุ้นความต้องการบริโภคสินค้ามากขึ้น อย่างไรก็ตาม อุปสงค์การขนส่งสินค้าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่เรือเทกองแห้งนั้นรายได้ของผู้ประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ เนื่องจากสินค้าที่ขนส่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง โลหะและแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งเป็นที่ต้องการต่อเนื่องทำให้ผู้ประกอบการขนส่งรับรู้รายได้จากค่าระวางเรือสม่ำเสมอ และเรือเทกองเหลวรายได้ของผู้ให้บริการมีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และความต้องการสต๊อกวัตถุดิบเพื่อป้องกันการขาดแคลน และลดทอนความผันผวนด้านราคา โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งจะสามารถรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากการให้เช่าเรือ และบริการขนส่งสินค้าซึ่งจัดเป็นปัจจัยการผลิตหลักของภาคอุตสาหกรรมในประเทศ

"วิจัยกรุงศรีคาดว่าปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลของไทยจะขยายตัวเฉลี่ยปี 2568-2570 เทียบกับ 2.7% ปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2568-2570 จะเติบโตเฉลี่ย 3.2% ต่อปี หนุนการค้าโลกเติบโตในช่วง 3.3-3.6% จาก 3.1% ปี 2567 โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย (สัดส่วนการขนส่งสินค้าทางทะเลมากกว่า 53% ของการขนส่งสินค้าทางทะเลทั่วโลก) ซึ่ง IMF คาดว่าจะเติบโต 4.6-5.0% ต่อปี ทั้งยังมีเส้นทางขนส่งทั้งทางรางและทางทะเลที่เชื่อมโยงกันระหว่างเอเชีย-แอฟริกา-ยุโรป ตามโครงการ Belt and Road Initiative จะหนุนปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกิจการค้าออนไลน์ที่ระดับเฉลี่ย 15.0% ต่อปี จะช่วยเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าเพื่อตอบสนองผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง

" Krungthai COMPASS "คาดการณ์แนวโน้มธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลช่วงปี 2568-2569 จะเผชิญกับรายได้ที่ปรับตัวลดลง สวนทางกับต้นทุนที่มีแนวโน้มลดต่ำลงตามทิศทางราคาน้ำมันโลก ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง และคาดว่ารายได้รวมของธุรกิจในปี 2568 และ 2569 จะปรับตัวลดลงราว -5.2% และ -6.7% ต่อปีตามลำดับ ปัจจัยหลักมาจากการอ่อนตัวของค่าระวางเรือทั่วโลก

โดยค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ (SCFI) จะลดลงมาอยู่ในช่วง 1,400-1,900 ดอลลาร์สหรัฐ/TEU ในปี 2568 และ 1,300-1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/TEU ในปี 2569 จากค่าเฉลี่ย 2,740 ดอลลาร์สหรัฐ/TEU ในปี 2567 ขณะที่ดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 1,100-1,600 และ 1,000-1,500 ในปี 2568-2569 ตามลำดับ สาเหตุสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของกองเรือขนส่งสินค้าทั่วโลก ขณะปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลของไทย คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3% ในปี 2 และประเมินธุรกิจอาจได้รับปัจจัยบวกจากต้นทุนที่ลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนหลัก คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะลดลงจาก 79.7 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปี 2567 มาอยู่ที่ 66.3 และ 63.4 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือลดลงด้วย

อย่างไรก็ดีควรจับตาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความไม่สงบในทะเลแดงและช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเส้นทางการเดินเรือและต้นทุนน้ำมัน นอกจากนี้ การแข่งขันในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากการรวมกลุ่มของสายเรือยักษ์ใหญ่และมองโอกาสการเติบโตในตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น การขนส่งสินค้าด้วยตู้สินค้าเย็น (Reefer container) สำหรับสินค้าที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิอย่างอาหารและยา ซึ่งคาดว่าตลาดโลกจะเติบโตราว 6% ในปี 2568 และเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 6.5% ต่อปี (CAGR) ในช่วงปี 2568-2574

สำหรับ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหล้กทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ประกาศผลงานล่าสุดงวดไตรมาส 3 ปี 68 ออกมาพบว่าแทบทุกบริษัทผลประกอบการดีต่อเนื่อง และบางบริษัทแม้กำไรจะลดลงเล็กน้อยแต่ยังคงประกาศจ่ายเงินปันผลอย่างไม่หวาดหวั่น

 

TTAกวาดรายได้กำไรงาม

บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA แจ้งผลงานไตรมาส 3 มีรายได้ 8,251.3 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 502.9 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 146% เมื่อเทียบกับปี 2567 ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มธุรกิจชนส่งทางเรือและกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มการลงทุนอื่น มีสัดส่วนรายได้ 22% , 60% ,10%, 6% และ 2% ของรายได้รวมทั้งหมดตามลำดับ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือมีอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่า เฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจฯ อยู่ที่ 14,185 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ขณะที่ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบ 642.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นสุดไตรมาสที่ 3 นอกจากนี้ TTA ยังคงฐานะทางการเงินแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ ด้วยเงินสดภายใต้การบริหาร 6.9 พันล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำที่ 0.38 เท่า ณ ไตรมาสที่ 3 ในขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2568 TTA มีกระแสเงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมการดำเนินงาน 1,506.6 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงสภาพคล่องและฐานะการเงินที่มั่นคงของบริษัทฯ

สำหรับผลการดำเนินงานที่เติบโตมาจากสภาวะตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยดัชนีซุปราแมกซ์ (BSI) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,352 จุด เพิ่มขึ้นจาก 962 จุดในไตรมาสที่ 2 สะท้อนการเติบโตของอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของสินค้าแห้งเทกองหลายประเภท ทั้งนี้ อัตราค่าระวางเรือซุปราแมกซ์ทำสถิติสูงสุดที่ 16,835 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 15,061 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน สำหรับภาพรวมปี 2568 ตามรายงานของ Clarksons Research คาดว่าการค้าสินค้าแห้งเทกองจะเติบโต 1.4% ในหน่วยตัน-ไมล์ สะท้อนแนวโน้มความต้องการการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์หลักประเภทต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มปี 69 ตลาดเรือขนส่งสินค้ามีแนวโน้มค่อนข้างทรงตัว โดยคาดว่าการค้าสินค้าแห้งเทกองจะเติบโตที่ร้อยละ 2.1 ในหน่วยตัน-ไมล์ ซึ่งในเดือนกันยายน 68 กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือทำการจำหน่ายเรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกอง จำนวน 1 ลำ ประเภทซุปราแมกซ์ อายุ 24.0 ปี ทำให้กองเรือมีจำนวนลดลงไปอยู่ที่ 23 ลำ สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินงานที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพของกองเรือ และเสริมศักยภาพของ TTA สำหรับการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

 PSLปันผลครั้งที่ 3 อีกหุ้นละ 10 สต.

บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้งหรือ PSL ผลงานไตรมาส 3 ปีนี้กำไร 252.38 ล้านบาท ลดลงจากงวดนี้ปีก่อนที่ทำไว้ 279.89 ล้านบาท เนื่องจากผลจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับเก้าเดือนแรกของปีนี้ 102.67ล้านบาท เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าที่เทียบเท่าในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐของหนี้สินสกุลเงินบาท ส่งผลให้มีรายได้ก่อนดอกเบี้ย ภาษีค่าเสื่อม (EBITDA) อยู่ที่ 21.36ล้านเหรียญสหรัฐ และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 7.78 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกำไรสุทธิต่อหุ้นหน่วยเป็นเงินสกุลไทยบาทอยู่ที่ 0.17 บาทต่อหุ้น

ขณะที่มีรายได้ต่อวันต่อลำเรือเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 13,368เหรียญสหรัฐ สูงกว่าไตรมาส 3 ปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 12,755 เหรียญสหรัฐ แสดงถึงผลการดำเนินงานของกองเรือของบริษัทฯ ต่อวันต่อลำเรือเปรียบเทียบกับดัชนีค่าระวางเรือ ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือต่อวันต่อลำเรือเฉลี่ยของบริษัทฯ อยู่ที่ 5,284เหรียญสหรัฐ ซึ่่งต่ำกว่าประมาณการที่บริษทั ฯ ตั้งไว้สำหรับปีนี้ที่ 5,670 เหรียญสหรัฐต่อวันต่อลำเรือ แต่สูงกว่าค่าใช้จ่ายในการเดินเรือเฉลี่ยที่เกิดขึ้นจริงในช่วงไตรมาสเดียวกันในปีก่อนที่ 5,175 เหรียญสหรัฐต่อวันต่อลำเรือ





 RCL ปันผลทันที หลังผลงานโตต่อเนื่อง 

บมจ.อาร์ ซี แอล หรือ RCL งวดไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 296 ล้านบาทหรือ 14.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าโดย ผลมาจากรายได้จากการเดินเรือที่เพิ่มขึ้น 321 ล้านบาท หรือ 3.6 % ประกอบกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุนการเดินเรือลดลง 1.95 % ขณะเดียวกันปริมาณการขนส่งลดลง 1.4 % ทั้งนี้อัตราค่าระวางเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นจาก 406 เหรียญต่อตู้ในไตรมาสที่ 2 มาอยู่ที่ 440 เหรียญต่อตู้ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้

ขณะที่ งวด 9 เดือนของปีนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 6,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 511 ล้านบาทหรือ 8.7 % เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกนัของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่5,852 ล้านบาท การเติบโตดังกล่าวมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากรายได้จากการเดินเรือที่เพิ่มขึ้น 9.7 % อันเป็นผลมาจากปริมาณการขนส่งของบริษัทฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น 200,000 ตู้ หรือ 11.3 % สะท้อนถึงการขยายกองเรือและการให้บริการที่ครอบคลุมและหลากหลายมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนการเดินเรือเพิ่มขึ้น 9.9 % โดยที่อัตราค่าระวางเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น 6.3% เมื่อเทียบกับงวด 9 เดือนของปีก่อน

อย่างไรก็ดี ช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้ อุตสาหกรรมขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางทะเลทั่วโลกเผชิญแรงกดดันจากอุปทานเรือที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าความต้องการขนส่ง ส่งผลให้อัตราค่าระวางเฉลี่ยโดยรวมชะลอตัว ขณะเดียวกันความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นปัจจัยที่เพิ่มความท้าทายในการบริหารจัดการธุรกิจ บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการดำเนินกลยุทธ์ที่สร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อตอบรับต่อสถานการณ์ดังกล่าว โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มศกัยภาพกองเรือให้มีความทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับความต้องการบริการโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดลอ้ม (Green Logistics) และข้อกำหนดด้านสิ่งแวดลอ้มขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ซึ่งบริษัทฯ ยังได้ลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาการใช้พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางเรือ โดยได้ดำเนินการเติมน้ำมัน B24 VLSFO ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังงานสะอาดสำหรับเรือขนส่งสินค้าให้แก่เรือPiya Bhum ในกองเรือของบริษ้ทฯ เป็นคร้ังแรกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาสะท้อนถึงความมุ่งมนั่ ของบริษัทฯ ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน


  AMA กำไรขั้นต้นพุ่ง 


บมจ.อาม่า มารีน หรือAMA ไตรมาส 3 ปีนี้ทำรายได้จากการให้บริการขนส่งสินค้า 714.28 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 44.49 ล้านบาทโดยรายได้หลักยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้าทางรถเพิ่มขึ้น จากการขนส่งสินค้าเหลว การขนส่งแก๊ส และตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งธุรกิจการขนส่งสินค้าทางรถในไตรมาส 3 ปีนี้มีกำไรขั้นต้น 73.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.96 ล้านบาท หรือ 51.27 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.42 % เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 13.39 % สาเหตุหลักมาจากการบริหารจัดการจำนวนเที่ยววิ่งและต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเติบโต ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายปันผลวันที่ 9 ธ.ค.68

นอกจากนี้ ในไตรมาส 4 AMA เชื่อว่าจะมีทิศทางการดำเนินงานที่ดี และจะขยายตัวดีขึ้นจากช่วง High Season ขณะเดียวกันบริษัทฯ เดินหน้าในการสร้างโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต ซึ่งโฟกัสในธุรกิจโลจิสติกส์เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ Warehouse และขนส่งทางโดรน ล่าสุดบริษัทฯ ได้ร่วมสาธิตการบินโดรนขนส่งยาและเวชภัณฑ์ เพื่อแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีขนส่งอัจฉริยะในภาคการแพทย์ระยะเวลาสัญญาเริ่มตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2568 แล้วเสร็จเดือนมีนาคม 69 อีกทั้ง

บริษัท เอ เอ็ม เอ โลจีสติกส์ (AMAL) และ บริษัท ทีเอสเอสเค โลจิสติกส์ จำกัด (TSSK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้เพิ่มจำนวนรถขนส่งสินค้าทางรถเพื่อรองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากกลุ่มลูกค้าหลักอย่าง บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) ซึ่งขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลูกค้าใหม่ในกลุ่มธุรกิจอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งทางบกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


  SINOคุมต้นทุนต่ำ ดันผลงานพุ่ง 


บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SINO งวดนี้มีรายได้รวม 744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และมีกำไรสุทธิ 21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 67% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากศักยภาพทำกำไรที่ดีขึ้น สะท้อนจากอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 16% จาก 15% ในไตรมาสก่อนหน้า แม้ได้รับแรงกดดันจากความผันผวนของค่าระวางเรือ (Freight Rate) โดยค่าระวางเรือเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกา ลดลงในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคมที่ผ่านมา เนื่องจากมีซัพพลายค่อนข้างมาก ซึ๋งการเติบโตในไตรมาส 3 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้ามีปัจจัยมาจากการปรับขึ้นค่าขนส่งชั่วคราวในเดือนกันยายนที่ผ่านมาซึ่งเป็น Peak Season ของอุตสาหกรรม และได้รับแรงหนุนจากความต้องการเร่งส่งออกสินค้าก่อนถึงช่วงเทศกาลวันหยุดยาวของประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลในเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเส้นทางที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการส่งออกชะลอตัว ส่วนการขนส่งสินค้าทางทะเลในมาเลเซียและเวียดนามที่ดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุน มีปริมาณใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม - กันยายน) แม้มีรายได้รวม 2,252 ล้านบาท ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่บริษัทฯ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่าย ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.7% จาก 1.9% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะภาพรวมอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกระยะสั้นจากการเร่งส่งออกสินค้าในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและการลดจำนวนเที่ยวเรือขนส่งของสายการเดินเรือต่างๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยกดดันจากการแข่งขันของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว และค่าระวางเรือทั่วโลกอยู่ในทิศทางขาลง และบริษัทฯ เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งคลังสินค้า การขนส่งทางอากาศ และการลงทุนด้านดิจิทัล เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง โดยรายได้จากบริการโลจิสติกส์และขนส่งทางอากาศเริ่มเติบโตต่อเนื่อง ช่วยลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือ และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว





PRM ไตรมาส Q3 รายได้กำไรโตต่อเนื่อง 

บมจ.พริมา มารีน หรือ PRM ไตรมาส 3 มีรายได้ 2,322.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดนี้ปีก่อนที่มี 2,170.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 595.5 ล้านบาท เพิ่มขี้นจากปีก่อนที่ทำไว้ 449.7 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมของงวด 9 เดือนแรกของปี68 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,608.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,847.6 ล้านบาท โดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจ FSU และการลงทุนขยายกองเรือในธุรกิจ OSV อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ปลายปี 67 เพื่อรองรับความต้องการจากอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 เติบโตขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 และไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า

โดยไตรมาสนี้มีผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา แต่บริษัทฯ ได้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยได้ปรับแผนการขนส่ง และทำการตลาดเชิงรุกขยายการให้บริการขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมีเหลวในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อทดแทนปริมาณการขนส่งไปยังประเทศกัมพูชาที่ลดลง รวมทั้งการบริหารต้นทุนและการให้บริการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจากการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจ FSU ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 พร้อมกับอัตราค่าบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดที่สูงขึ้นมากกว่าจำนวนเรือ FSU ที่มีให้บริการในท้องตลาดในปัจจุบัน ส่งผลให้ธุรกิจ FSU ของบริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น 445.2 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาส 3 ปี 67 ถึง 12.4% และกลุ่มธุรกิจ OSV เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 42.3%

ล่าสุด PRM รุกตลาดตะวันออกกลาง ด้วยการขยายตลาดกลุ่มเรือ Offshore Support Vessel (OSV) ในตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง หลังให้บริการ ADNOC เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุดคว้าลูกค้ารายใหม่ NMDC LTS ภายใต้ยักษ์ใหญ่ NMDC แห่งกรุงอาบูดาบี ผู้เชี่ยวชาญด้านการขุดลอกทางทะเล โครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง ตลอดจนการวางท่อและสายเคเบิลใต้น้ำ พร้อมส่งมอบเรือ Crew Boat มาตรฐานสูงทั้งด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน จำนวน 2 ลำ คือเรือ Crew Boat ที่บริษัทส่งมอบเป็นรุ่น 42-metre Generation 4 Fast Crew Boats (FCBs) ที่ออกแบบร่วมกับ Strategic Marine ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อเรือในประเทศสิงคโปร์ และ Southerly Designs ผู้เชี่ยวชาญออกแบบเรืออะลูมิเนียมความเร็วสูง ซึ่งโดดเด่นด้วยรูปทรงที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและเดินเรือได้จริง

 อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกเรือด้วย Gyro Stabilizer อุปกรณ์รักษาความสมดุลที่ช่วยการลดการโคลงเคลง เมื่อเจอสภาวะทะเลคลื่นลมแรง และนอกจากความสำเร็จในขยายตลาดเรือ Crew Boat ในตะวันออกกลางแล้ว บริษัทฯ ยังได้รับสัญญาระยะยาว 5 ปีใหม่สำหรับเรือ Accommodation Work Barges (AWB) ทั้ง 2 ลำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเภทเรือหลักในธุรกิจ OSV โดยจะให้บริการภายใต้สัญญาฉบับใหม่ต่อเนื่องต้นปี 69
กำลังโหลดความคิดเห็น