xs
xsm
sm
md
lg

จี้รัฐบาลเร่ง “โซลาร์รูฟประชาชน” “ทวงความเป็นธรรมด้านพลังงาน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



สภาผู้บริโภคออกโรงจี้รัฐบาลนายกฯ ‘อนุทิน’ เดินหน้านโยบาย “โซลาร์รูฟประชาชน” ตามที่เคยให้คำมั่นไว้ก่อนเลือกตั้ง ต้องทำให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ย้ำชัด “พูดแล้วต้องทำ” ชี้ช่วยประชาชนลดภาระค่าไฟได้จริง หากเป็นไปได้ควรใช้ระบบ เน็ตมิเตอร์ริ่ง (Net Metering) ที่ประชาชนสามารถนำไฟฟ้าที่ผลิตได้มาหักลบกับจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่นำมาใช้ได้

กรณีที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่การกระทรวงมหาดไทย ได้เร่งรัดดำเนินการโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน (RE Big Lot) และโซลาร์ฟาร์มชุมชน รวมกว่า 3,500 เมกะวัตต์ ทั้งที่ประเทศไทยมีไฟฟ้าล้นระบบ เสี่ยงทำให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าแพงขึ้นในระยะยาว สภาผู้บริโภคเสนอให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟให้ประชาชนตามที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้จะดีกว่า เพราะช่วยลดภาระค่าไฟ และเพิ่มรายได้ในครัวเรือนได้จริง

ทั้งนี้สภาผู้บริโภค ยื่นฟ้องคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อให้เพิกถอนประกาศ กกพ. ที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า การกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าหรือแอดเดอร์ จากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายจากนโยบายของภาครัฐ (Policy Expense หรือ PE) ที่นำไปรวมอยู่ในบิลค่าไฟของประชาชนที่ต้องจ่ายทุกเดือนในรูปแบบของค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) ส่งผลให้ประชาชนต้องจ่าย ค่าไฟแพง กว่าต้นทุนจริง โดยเป็นภาระรวมกว่า 34,000 ล้านบาทต่อปี

ซึ่งใจการฟ้องครั้งนี้สะท้อนความพยายามของสภาผู้บริโภคในการผลักดัน “ความเป็นธรรมด้านพลังงาน” และทวงคืนโครงสร้างค่าไฟที่โปร่งใส เป็นธรรม และไม่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มผู้ผลิตเกินควร


โซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ “ประชาชนไม่ได้ประโยชน์”
นางสาวรสนา โตสิตระกูล ประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนที่ภาครัฐผลักดันจำนวน 1,500 เมกะวัตต์ แม้จะมีชื่อว่า “ชุมชน” แต่ในความเป็นจริง ประชาชนมีส่วนร่วมเพียง 10% อีก 90% เป็นเงินลงทุนจากคนนอกพื้นที่หรือกลุ่มทุนภายนอก ส่งผลให้ผลประโยชน์ไม่ตกกลับสู่ชุมชนตามเจตนารมณ์ของนโยบาย

“ชุมชนต้องไปขออนุญาตยุ่งยาก กว่าจะเริ่มโครงการได้ก็ช้า ส่วนผลตอบแทนประชาชนได้แค่ 10% แทบไม่ได้อะไรเลย นี่ไม่ใช่การสร้างพลังงานให้ชุมชนอย่างแท้จริง” รสนากล่าว

พร้อมเสนอแนะว่า รัฐควรหันมาหนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟบนหลังคาบ้านเรือนทั่วประเทศ โดยให้ประชาชน ผลิตไฟฟ้าใช้เอง และขายไฟส่วนเกินให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ผ่านระบบ เน็ตบิลลิ่ง (Net Billing) คือเมื่อประชาชนผลิตไฟฟ้าเหลือใช้แล้ว สามารถจำหน่ายไฟฟ้าส่วนเกินให้กับกฟภ.ได้ โดยหักลบจากค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายทุกเดือน หรือหากเป็นไปได้ควรใช้ระบบ เน็ตมิเตอร์ริ่ง (Net Metering) ที่ประชาชนสามารถนำไฟฟ้าที่ผลิตได้มาหักลบกับจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่นำมาใช้ได้

“ถ้าประชาชนผลิตไฟได้ 150 หน่วย ใช้ไป 300 หน่วย ก็จ่ายแค่ส่วนต่าง นี่คือการลดรายจ่ายที่จับต้องได้เลย ในยุคที่เศรษฐกิจย่ำแย่ รายได้ไม่พอ รายจ่ายเพิ่ม การให้ประชาชนผลิตไฟเองคือการสร้างรายได้ทางอ้อม และที่สำคัญนโยบายติดตั้งโซลาร์รูฟที่บ้านประชาชน เป็นนโยบายที่พรรคภูมิใจหาเสียงไว้ และควรทำให้สำเร็จใน 4 เดือนนี้ ไม่งั้นจะเป็นการย้ำว่าพูดแล้วไม่ทำ และประชาชนจะไม่เชื่อถืออีกต่อไป” รสนากล่าว


นโยบายพลังงาน ประชาชนต้องมีทางเลือก
รสนา กล่าวด้วยว่า จากสถานการณ์ค่าไฟที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นโยบายโซลาร์รูฟภาคประชาชนคือ “คำตอบที่รัฐยังไม่ให้” ทั้งที่เป็นมาตรการที่ประชาชนได้ประโยชน์ เช่น ช่วยลดค่าไฟฟ้ารายเดือน เพิ่มรายได้หากขายไฟส่วนเกิน ลดความสูญเสียในระบบไฟฟ้า เพราะมีแหล่งผลิตอยู่ในพื้นที่ คือบ้านเรือนประชาชน ลดโอกาสไฟตกไฟดับ เนื่องจากกระจายแหล่งผลิตใกล้ผู้ใช้

“ถ้ารัฐจะเปิดให้เอกชนรายใหญ่ขายไฟให้โรงงานได้ ทำไมประชาชนถึงขายไฟให้รัฐไม่ได้? การซื้อไฟจากโซลาร์รูฟในพื้นที่จะช่วยลดการสูญเสียในระบบการส่งไฟฟ้าด้วยซ้ำ รัฐควรเปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ใช่เปิดประตูให้แต่กลุ่มทุนรายใหญ่” รสนาย้ำ

สำหรับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน 2.70 บาทต่อหน่วยที่กำลังถูกผลักดัน ซึ่งมีลักษณะเอื้อให้การซื้อไฟฟ้าระหว่างกลุ่มทุนรายใหญ่ (RE Big Lot) มากกว่าประชาชนทั่วไป โดยเตือนว่า ถ้ารัฐเปิดโอกาสให้ทุนใหญ่ขายไฟฟ้าได้ตามต้องการ แต่ไม่เปิดให้ประชาชนขายไฟเลย ประชาชนจะไม่มีวันลุกขึ้นมาพึ่งตัวเองได้

“ประเทศไทยต้องให้ประชาชนเป็นเจ้าของพลังงาน ไม่ใช่มีแค่กลุ่มทุนรายใหญ่ที่ได้ประโยชน์ การเปิดทางให้ประชาชนผลิตไฟ ขายไฟ และลดค่าใช้จ่ายของตัวเอง คือการสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริง”รสนากล่าวทิ้งท้าย

สภาผู้บริโภคเตรียมยื่น 4 ข้อเสนอเร่งด่วนต่อกระทรวงพลังงานและคณะรัฐมนตรี

1. เปิดรับซื้อไฟฟ้าจาก โซลาร์รูฟประชาชน ในระดับพื้นที่
2. ใช้ระบบเน็ตมิเตอร์ริ่งเพื่อลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน
3. ทบทวนอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เอื้อทุนใหญ่
4. จัดกลไกสนับสนุนเงินกู้–เงินสมทบสำหรับครัวเรือนรายได้น้อยที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟ
กำลังโหลดความคิดเห็น