กรุงไทยมึนหุ้นแบงก์ถูกสุดเอเชียทั้ง P/BV และ P/E สวนทางกำไรเติบโตแต่ตลาดยังเมินตั้งเป้า ROE โตเกิน10% ตั้งแต่ปี 2025 พร้อมเดินเกมยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ตั้งแต่ยึดโยงภาครัฐ สร้าง New Growth Engine ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ลงทุน Tech & Data ไปจนถึงปรับวัฒนธรรมองค์กรรับ New Gen ท่ามกลางความท้าทายจีดีพีโตต่ำ หนี้ครัวเรือนทะลุ 100% ของจีดีพี และ NIM ถูกกดดันจากดอกเบี้ยขาลง พร้อมโชว์กำไรติดTop 3 NPL ลดเหลือ 2.9% มาร์เก็ตแคปโต 3 เท่า แถมสร้างมูลค่าคืนรัฐกว่าราว 2.46 แสนล้านบาท
นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าปัจจุบัน มูลค่าหุ้นของธนาคารพาณิชย์และราคาตลาดเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี (P/BV) เทียบกับอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น(ROE) ของธนาคารไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับธนาคารระดับภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นในมาเลเซีย สิงคโปร์ หรืออินโดนีเซีย สวนทางกับการเติบโตของกำไร แต่ตลาดกลับไม่ให้ Valuation สูงทำให้ธนาคารไทยหลายแห่ง P/BVยังคงต่ำกว่า 1 เท่า นอกจากนี้ในแง่ของ P/E ก็เช่นกัน แม้กำไรเติบโต แต่ราคาหุ้นไม่ค่อยไปไหน หุ้นไทยจึงถูกมองว่าถูกเกินไป ในส่วนของกรุงไทยเองก็เช่นกันมี P/E อยู่ประมาณ 7 เท่า เมื่อนำไปเทียบกับธนาคารในสิงคโปร์หรืออินโดนีเซีย เช่น BCA (Bank Central Asia) ที่มี P/E ราว 13–14 เท่า ก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างด้าน Valuation ชัดเจน
ทั้งนี้ธนาคารกรุงไทยตั้งเป้า ROE ต้องเติบโตมากกว่า 10% ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไปเนื่องจากต้องการให้ให้ผู้ถือหุ้น “เริ่มเห็นมูลค่า (Value)” ของธนาคารสะท้อนออกมาที่ราคาหุ้นมากขึ้น ทั้งในแง่ของ Price to Book และมูลค่าตลาดโดยรวม
สำหรับยุทธศาสตร์หลักในปี 2026 คือ “ยุทธศาสตร์ 5 ด้าน” และปีนี้ถือเป็นปีที่จะต้อง “ลงมือขับเคลื่อนจริง” ได้แก่
1.ยึดโยงกับภาครัฐและ Public Ecosystem
ใช้จุดแข็งด้านความสัมพันธ์และโครงสร้างเชื่อมต่อกับหน่วยงานรัฐ มาต่อยอดสู่ธุรกิจ Corporate, SME และ Retail
2.สร้าง New Growth Engine ในการ
มองหาเซ็กเมนต์ลูกค้าใหม่ ๆ เช่นกลุ่มที่ยังไม่เข้าถึงบริการทางการเงิน กลุ่ม Wealth ที่ต้องการ Investment product ที่ซับซ้อนขึ้นตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการลูกค้า Corporate และ SMEซึ่งกรุงไทยเองต้องเป็นหนึ่งในธนาคารที่ลูกค้ามองว่าให้โซลูชันครบเช่นกัน
3.ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience)ลด Pain point สำคัญ เช่น การไปสาขาแล้วคนเยอะ ต้องรอคิวนาน ธนาคารต้องออกแบบบริการใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น
4.ลงทุนต่อเนื่องในด้าน Tech และ Data
ในช่วง 9–10 ปีที่ผ่านมา กรุงไทยลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและข้อมูลอย่างหนัก ซึ่งสิ่งที่ต้องทำต่อ ทั้งเรื่องการใช้ Data ในเชิงลึก และการนำ AI มาใช้ช่วยตัดสินใจทางธุรกิจ
5.ปรับวัฒนธรรมองค์กรสู่ New Gen & Open Culture
เปลี่ยนจากภาพธนาคารกึ่งภาครัฐแบบเดิม ให้กลายเป็นองค์กรที่เปิดกว้าง คล่องตัว และมี DNA แบบผู้ประกอบการ (Entrepreneurial mindset) มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความท้าทาย โดยหากดูตัวเลขจีดีพีไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นภาพตรงกันว่า “จีดีพีโตต่ำต่อเนื่อง” และแนวโน้มในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็ยังอยู่ในระดับ 1–2% และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือแม้แต่กลุ่มประเทศในเอเชียกลาง จะเห็นว่าประเทศเหล่านั้นมี ศักยภาพการเติบโตสูงกว่ามาก
การที่จีดีพีเติบโตต่ำน่าจะกระทบความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจด้วย เมื่อรายได้เติบโตช้า แต่ภาระหนี้เพิ่มขึ้น ธนาคารก็มีแนวโน้ม ระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยกู้ ประกอบกับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายมีทิศทาง ปรับลดลงทำให้(NIM) ของสถาบันการเงินอาจถูกกดดันมากขึ้นซึ่งเป็นความท้าทายของธนาคารในการบริหารรายได้และความเสี่ยงของสินทรัพย์ไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ หากดูข้อมูลเปรียบเทียบปี 2567 กับ 2568 จะพบว่าหนี้ในระบบและนอกระบบของคนไทยมีสูงถึง80% สวนทางกับสัดส่วนคนที่ไม่มีหนี้ลดลงจาก 22% เหลือเพียง 17% เท่านั้นแนวโน้มนี้สะท้อนชัดว่าหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบอาจเกิน 100% ของจีดีพีซึ่งหมายถึงมีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถกู้ในระบบได้ และอาจหันไปพึ่งหนี้นอกระบบมากขึ้น
หากมองในมุม “Gross debt” สัดส่วนหนี้อยู่ที่ประมาณ 114% ของจีดีพี ส่วนตัวเลข “Net” ก็อาจดูต่ำลงมาหน่อย เพราะมีบางคนที่ทั้งเป็นลูกหนี้และปล่อยกู้เองด้วย แต่หากมองเฉพาะฝั่ง “หนี้” ก็ยังถือว่าอยู่เหนือ 100% ชัดเจนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกและน่าจะกระทบต่อการตัดสินใจปล่อยกู้ของธนาคารในระยะต่อจากนี้
กรุงไทยผลตอบแทนผู้ถือหุ้นโดดเด่น NPL ลด รัฐได้อานิสงส์กว่า 2.46 แสนล้าน
ด้านนายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าในด้านผลตอบแทนทางการเงินของธนาคารกรุงไทยหากเทียบตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ผู้ถือหุ้นที่ลงทุนในกรุงไทยตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบัน ได้รับผลตอบแทนที่โดดเด่น ทั้งจากมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้นละเงินปันผลที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ โดยมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นราว 3 เท่าเมื่อเทียบกับ 4–5 ปีก่อน
ผลงานด้านการเงินที่แข็งแกร่งนี้ยังส่งผลให้นักลงทุนสถาบันทั่วโลกมีความเชื่อมั่นในกรุงไทยมากขึ้น สะท้อนผ่านการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจากสถาบันจัดอันดับชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Moody’s, S&P หรือ Fitch Ratings ซึ่งต่างให้เครดิตกรุงไทยดีขึ้นตามลำดับในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่กำไรสุทธิ ปัจจุบันกรุงไทยยังอยู่ในกลุ่ม “op 3 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หากเทียบกับเมื่อ 4–5 ปีก่อนที่ยังอยู่ในกลุ่ม Top 3–4 เช่นกัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “ช่องว่าง” ระหว่างกรุงไทยกับธนาคารอันดับหนึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เดิมในปี 2020 กำไรสุทธิของกรุงไทยอยู่ราว 16,000 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารอันดับหนึ่งมีกำไรราวเกือบ 30,000 ล้านบาท ปัจจุบันเมื่อจบปี 2024 กำไรสุทธิของกรุงไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 44,000 ล้านบาททำให้ช่องว่างของการทำกำไรลดลงอย่างชัดเจนซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ทั้งนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น และสะท้อนกลับไปยังเรตติ้งต่าง ๆ ที่ดีขึ้นตามลำดับ
อีกปัจจัยสำคัญของธุรกิจธนาคารคือ “คุณภาพสินทรัพย์” โดยเฉพาะอัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หากดูตัวเลขทางการ เมื่อปี 2020 กรุงไทยมี NPL อยู่ราว 3.8% และล่าสุดลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 2.9% เท่านั้น
“มาร์เก็ตแคปของกรุงไทยอยู่ที่ประมาณ 155,500 ล้านบาท ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นราว 380,000 ล้านบาท หมายความว่ามูลค่าของธนาคารเพิ่มขึ้นกว่า 200,000 ล้านบาทในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนนี้คือมูลค่าทุนของผู้ถือหุ้นที่เติบโตขึ้น”
กระทรวงการคลัง (MOF) ถือหุ้นกรุงไทยอยู่ประมาณ 55% จึงได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าตลาดส่วนนี้คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นราว 124,000 ล้านบาท นอกเหนือจากกำไรจากมูลค่าหุ้นแล้ว ยังมีรายได้ที่ภาครัฐได้รับจากกรุงไทยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาษีที่ธนาคารต้องชำระในฐานะธนาคารพาณิชย์ ค่าธรรมเนียมกองทุน และเงินปันผลที่จ่ายกลับให้ผู้ถือหุ้นภาครัฐเมื่อนำทั้ง 3 ส่วนมารวมกันทั้งมูลค่าหุ้นของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ภาษี และเงินปันผลส่งผลให้ธนาคารกรุงไทยได้ ส่งคืนเงินให้ประเทศในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมา รวมกันราว 122,000 ล้านบาท และหากนับรวมทั้งมิติของมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นและเม็ดเงินที่ส่งกลับรัฐในภาพรวม จะพบว่ากรุงไทยสร้าง มูลค่ากลับคืนประเทศไทย” ในเชิงตัวเลขแล้วประมาณ 246,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สามารถนำไปใช้พัฒนาโครงการต่าง ๆ ของประเทศได้ในหลายด้าน
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กรุงไทยไม่ได้เติบโตเพียงตัวเลขผลประกอบการ แต่ยังยกระดับคุณภาพสินทรัพย์ มาตรฐานการกำกับดูแล การคุ้มครองผู้บริโภค ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ และยังส่งมูลค่ากลับคืนสู่ภาครัฐและเศรษฐกิจไทยในสเกลที่มีนัยสำคัญด้วย