มอร์แกน สแตนลีย์ ประกาศจุดยืนสวนกระแสความผันผวนระยะสั้น “ไมค์ วิลสัน” แม่ทัพใหญ่ด้านการลงทุน ฟันธงดัชนี S&P 500 เตรียมติดปีกทะยานสู่ระดับ 7,800 จุดภายในสิ้นปี 2569 ชี้สัญญาณ “กระทิงรอบใหม่” เริ่มก่อตัว พร้อมกางเงื่อนไขสำคัญ “เฟด” ต้องงัดยาแรงทั้งลดดอกเบี้ยและอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อพยุงเศรษฐกิจ เตือนจับตา “ตลาดแรงงาน-ความตึงเครียดการเงิน” ตัวแปรชี้ชะตาที่จะบีบให้ธนาคารกลางต้องยอมจำนน
แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเผชิญแรงกดดันจากการพักฐานในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความผันผวนดังกล่าวจะไม่สามารถสั่นคลอนมุมมองเชิงบวกของทีมยุทธศาสตร์จาก “มอร์แกน สแตนลีย์” (Morgan Stanley) วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้ เมื่อพวกเขายังคงเดินหน้าปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนี S&P 500 สำหรับปีหน้าและปีถัดไปอย่างมั่นใจ
ไมค์ วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน (CIO) ผู้ทรงอิทธิพลของมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ออกมาเปิดเผยผ่านรายการ Bloomberg Television โดยแสดงวิสัยทัศน์ว่า ดัชนี S&P 500 กำลังเข้าสู่ “ตลาดกระทิงรอบใหม่” (New Bull Market) และคาดการณ์ว่าดัชนีจะพุ่งขึ้นไปปิดที่ระดับ 7,800 จุด ภายในสิ้นปี 2569 (2026)
เมื่อพิจารณาจากระดับดัชนีปัจจุบันซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 6,702.82 จุด (ณ เวลาที่รายงานข่าว) เป้าหมายดังกล่าวบ่งชี้ถึงอัพไซด์หรือโอกาสในการทำกำไรอีกกว่า 16% ในช่วงระยะเวลา 13 เดือนข้างหน้า
เปิดเงื่อนไขความมั่งคั่ง "เดิมพันนโยบายการเงิน “ยาแรง”"
อย่างไรก็ตาม วิลสัน ไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบไร้เหตุผล เขาได้วางเงื่อนไขสำคัญที่เปรียบเสมือนกุญแจสู่เป้าหมาย 7,800 จุด นั่นคือธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างจริงจัง และวัฏจักรผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนต้องขยายตัวในวงกว้าง (Broadening out) ไม่กระจุกตัวอยู่แค่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
วิลสัน วิเคราะห์เจาะลึกว่า งบดุล (Balance Sheet) ของเฟดจำเป็นต้องกลับมาขยายตัวอีกครั้ง เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เขาคาดการณ์ไว้ในปีหน้า
“หากเราไม่เห็นเซอร์ไพรส์จากปัจจัยเหล่านี้เกิดขึ้น... เป้าหมายของเราคงไปไม่ถึง” วิลสัน กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมขยายความว่า “เซอร์ไพรส์ที่ว่านี้ หมายถึงการลดดอกเบี้ยที่มากกว่า 3 ครั้ง หรือการขยายงบดุล ไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่า QE (มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ), การควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Control) หรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าเราไม่เห็นส่วนผสมของมาตรการเหล่านี้ ดัชนีก็ยากจะไปถึงเป้า”
“ข่าวร้ายคือข่าวดี” ทฤษฎีบีบเฟด
สิ่งที่น่าจับตามองคือ วิลสันเชื่อว่ากลไกที่จะกระตุ้นให้เฟดตัดสินใจดำเนินนโยบายดังกล่าว อาจมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เขาประเมินว่าเราจะไปถึงจุดนั้นได้ก็ต่อเมื่อ “ตัวเลขตลาดแรงงาน” ออกมาอ่อนแอ หรือเกิดภาวะ “ความตึงเครียดทางการเงิน” (Financial Stress) ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้เฟดไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดของตลาด ดัชนี S&P 500 เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวโดยปรับตัวขึ้นเกือบ 1% ในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา แต่ในภาพรวมรายเดือนยังคงติดลบอยู่ที่ 1.31% สะท้อนให้เห็นถึงภาวะที่ตลาดยังคงรอคอยความชัดเจนจากปัจจัยมหภาค ตามที่แม่ทัพมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้