กรมทรัพย์สินทางปัญญาวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีสิทธิบัตรนวัตกรรมสิ่งทอ พบให้ความสำคัญกับสิ่งทอยั่งยืน นาโนเทคโนโลยี การผลิตอัตโนมัติ และการพิมพ์สามมิติ แนะไทยใช้จุดแข็ง วัตถุดิบ โรงงาน นักวิจัย และแรงงานมีฝีมือ ดันเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมสิ่งทอของอาเซียน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้วิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีสิทธิบัตรนวัตกรรมสิ่งทอ พบว่า มีแนวโน้มที่ตอบโจทย์ความท้าทายในอนาคต 4 ด้าน คือ 1.สิ่งทอยั่งยืน (Sustainable Textile) ด้วยนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกร่วมขับเคลื่อน จึงสนับสนุนให้เทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ในช่วงเติบโตอย่างแท้จริง และคาดว่าในระยะ 3–5 ปีข้างหน้า ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนจากตัวเลือกเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม โดยเน้นการพัฒนาเส้นใยและสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการใช้เส้นใยจากพืช วัสดุเหลือทิ้ง หรือวัสดุที่ย่อยสลายได้เอง ขณะเดียวกันก็มุ่งลดการใช้พลังงาน น้ำ และสารเคมีในกระบวนการผลิต พร้อมผลักดันห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสและมีจริยธรรมมากขึ้น โดยภาพรวมมีสิทธิบัตรมากกว่า 800 ฉบับต่อปี โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี และมีแนวโน้มจะเข้าสู่ช่วงเร่งเติบโตใน 3-5 ปีข้างหน้า โดยปัจจุบันญี่ปุ่นถือเป็นผู้เล่นแถวหน้าในกลุ่มนี้ ตามด้วย จีน สหรัฐฯ ซึ่งผู้ถือสิทธิบัตรในกลุ่มนี้ ไม่ได้มีแค่บริษัทแฟชันหรือสิ่งทอเท่านั้น แต่ได้ขยายวงกว้างไปถึงสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรมสุขอนามัยและการแพทย์ ที่หันมาให้ความสำคัญกับนวัตกรรมสิ่งทอในผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมและผ้าเช็ดทำความสะอาด ตลอดจนวัสดุชีวการแพทย์
2.นาโนเทคโนโลยี (Nanotech Textile) เทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนโลกสิ่งทออย่างเงียบๆ แต่ทรงพลัง ด้วยความต้องการผ้าที่ทำงานได้มากกว่าแค่ความสวยงาม เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการเคลือบหรือผสมอนุภาคระดับนาโนลงไปในเส้นใยโดยตรง ทำให้ผ้ามีคุณสมบัติพิเศษที่เทคนิคดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ ทั้งช่วยเพิ่มความแข็งแรง กันน้ำต้านแบคทีเรีย หรือแม้แต่ป้องกันรังสี UV ได้ โดยมีจีนครองแชมป์งานวิจัยและเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมนาโนไฟเบอร์ รวมทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น รวมผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 700 ฉบับต่อปี ซึ่งตลาดนี้อยู่ในช่วงเติบโตและยังมีโอกาสเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นใหม่
3.การผลิตอัตโนมัติ (Automation & Digitalization) เป็นการนำหุ่นยนต์ เทคโนโลยี AI และ Data Analytics เข้าสู่สายการผลิตสิ่งทอ เพื่อเปลี่ยนจากโรงงานดั้งเดิมไปสู่โรงงานอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำ ยืดหยุ่น
ในกระบวนการผลิต และลดของเสีย เทคโนโลยีดังกล่าวมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 500 ฉบับต่อปี โดยมีญี่ปุ่นและจีนเป็นผู้ครองตลาด แต่มีแนวโน้มเป็นช่วงขาลง เนื่องจากผู้เล่นใหม่เริ่มน้อย
4.การพิมพ์สามมิติ (3D Printed Textile) คือกุญแจสู่ Mass Customization หรือการผลิตเสื้อผ้าเฉพาะบุคคล แฟชั่นไฮเอนด์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตตามสรีระผู้ใช้ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเติบโต แม้จะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว โดยมีจีนเป็นผู้ครองตลาด ตามมาด้วยญี่ปุ่น รวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 300 ฉบับต่อปี
นางอรมนกล่าวว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอได้ก้าวสู่ยุคเทคโนโลยีสิ่งทอขั้นสูง ไทยจึงไม่ควรหยุดอยู่แค่การทำ OEM หรือการที่โรงงานรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์อื่นตามแบบที่ลูกค้ากำหนด แต่ไทยมีทั้งวัตถุดิบ โรงงาน นักวิจัย และแรงงานมีฝีมือ ถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมสิ่งทอ (Textile Tech Hub) ของภูมิภาคอาเซียนได้ โดยมีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบการเกษตรที่หลากหลาย โรงงานการผลิตจากต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งเครือข่ายนักวิจัยในสถาบันการศึกษา สามารถสร้างนวัตกรรมจากการนำจุดแข็งด้านการเกษตรมาพัฒนาสิ่งทอยั่งยืน เช่น เส้นใยชีวภาพจากสับปะรด ปอ กัญชง หรือแม้แต่เปลือกกล้วย รวมถึงการรีไซเคิลพลาสติกและเสื้อผ้าเก่า
นอกจากนี้ ยังสามารถพัฒนานาโนเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด เช่น หน้ากากกรองฝุ่น PM2.5 และผ้าต้านแบคทีเรีย ตลอดจนการนำ AI และหุ่นยนต์มาช่วยตรวจคุณภาพและผลิตงานเฉพาะทาง เช่น ชุดกีฬา และการแพทย์ รวมทั้งการพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งเป็นเทรนด์ตอบโจทย์ความยั่งยืนที่แบรนด์แฟชั่นระดับโลกให้ความสำคัญ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา มีนวัตกรรมเกี่ยวกับสิ่งทอที่สำคัญที่คนไทยยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรทั่วโลก ได้แก่ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งทอ เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับจักรเย็บผ้า เครื่องชักผ้า เครื่องอบผ้า เครื่องทอผ้า เครื่องปั่นเส้นใยด้วยไฟฟ้า เป็นต้น ผ้าถักทอด้วยเทคนิคพิเศษ เช่น เส้นใยที่ผ่านกระบวนการเพื่อเพิ่มคุณสมบัติการใช้งานเฉพาะด้าน เส้นใยที่ถักทอด้วยเครื่องปั่นด้ายไฟฟ้าและผ่านการปรับปรุงคุณสมบัติเพื่อการใช้งานเฉพาะด้าน ผ้าที่ผลิตขึ้นโดยไม่ผ่านการถักทอ (Non-woven Fabric) และกระบวนการปรับปรงสภาพเส้นใยหรือสิ่งทอเพื่อเพิ่มคุณสมบัติใช้งาน เช่น การเคลือบสิ่งทอ การปรับสภาพเส้นใยธรรมชาติ การบำบัดวัสดุผ้าด้วยย่าฆ่าแมลง การย้อมสีน้ำ เป็นต้น
สำหรับสถิติคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอในไทย ในช่วงปี 3 ปี (2566–2568) มีการยื่นคำขอสิทธิบัตร 349 คำขอ ต่างชาติ 327 คำขอ และไทย 22 คำขอ และคำขออนุสิทธิบัตร 185 คำขอ ต่างชาติ 10 คำขอ และไทย 175 คำขอ สำหรับสถิติการจดทะเบียน มีการจดทะเบียนสิทธิบัตร 312 ฉบับ ต่างชาติ 296 ฉบับ และไทย 16 ฉบับ และจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร 83 ฉบับ ต่างชาติ 2 ฉบับ และไทย 81 ฉบับ ผู้ที่ยื่นคำขอสิทธิบัตรสูงสุด 3 อันดับแรก มาจากญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท ฮิตาชิ โกลบอล ไลฟ์ โซลูชั่นส, อิงค. บริษัท โทเรย์ อินดัสทรีส, อิงค. และบริษัท พานาโซนิค อินเทเลคชัวล์ พร็อพเพอร์ตี้ เมเนจเมนท์ โค., แอลทีดี. และผู้ที่ยื่นคำขออนุสิทธิบัตรสูงสุด 3 อันดับแรก เป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยไทย ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยมีนวัตกรรมสิ่งทอที่น่าสนใจ อาทิ นวัตกรรมผ้าไม่ทอ (Nonwoven) ขั้นสูง เช่น เส้นใยคอมโพสิต ผ้าลามิเนต ผ้าเมลต์โบลนผ้าสปันบอนด์ เป็นการเพิ่มความหนา การทนความร้อน และความเหนียว นวัตกรรมสิ่งทอใช้วัสดุเส้นใยรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ เช่น เส้นใยไลโอเซล เส้นใยคอนจูเกตละลายด้วยความร้อน ด้ายกระดาษ และผ้ากระดาษ นวัตกรรมสิ่งทอที่ใช้เทคนิคและวัสดุที่มีประสิทธิภาพ เช่น ผ้าถุงลมนิรภัย ผ้าทนไฟ ผ้าที่ให้สัมผัสเย็น เป็นต้น
“กรมมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสิ่งทอผ่านกลไกต่าง ๆ อาทิ การให้คำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญาแบบครบวงจร ผ่านศูนย์ IPAC (Intellectual Property Advisory Center) ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการพัฒนานวัตกรรม การประเมินความใหม่ของสิ่งประดิษฐ์ การสืบค้นฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลก ไปจนถึงการวางกลยุทธ์ด้านการยื่นคำขอให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจและการตลาดระหว่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการในกระบวนการพัฒนานวัตกรรมและทำให้การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญามีความเป็นระบบมากขึ้น และยังอำนวยความสะดวกในการยื่นคำขอสิทธิบัตรระหว่างประเทศผ่านระบบ PCT ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอเพียงครั้งเดียว แต่ขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรในประเทศสมาชิกได้กว่า 158 ประเทศทั่วโลก”นางอรมนกล่าว