3 โบรกฯ คงเป้า SET index สิ้นปีนี้ในกรอบ 1,250-1,376 จุด ส่วน EPS คาดทำได้ในกรอบ 81-87 บาท ส่วนปี 69 หวัง Index ไปที่ 1,400 จุด EPS 88-92 บาท ประเมินเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก แต่ยังระบุตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค เชื่อมูลค่าเริ่มน่าสนใจ ภูมิทัศน์ทางการเมืองก็ชัดเจนขึ้น ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาเพิ่มเติม แนะลงทุนหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง และได้รับอานิสงส์นโยบายรัฐบาล
CGSI หั่นเป้า EPS ปีนี้ เหลือ 81.80 บ. คงเป้า SET ที่ 1,250-1,300 จุด
บทวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ได้ปรับประมาณการ EPS ของตลาดฯ ลง 0.7% เป็น 81.8 บาทในปี 68 แต่ยังคงประมาณการที่ 88.7 บาทในปี 69 เท่ากับคาดว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยในปี 68 จะเติบโต 10% และปี 69 จะเติบโต 8% เทียบกับที่ -3% ในปีก่อน สำหรับ SET Index ปี 68 ยังอยู่ในกรอบเดิมที่ 1,250 - 1,300 จุด
นอกจากนี้ การที่ GDP ไทยขยายตัวเพียง 1.2% YoY ในไตรมาส 3/68 และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวในปี 69 ทำให้มีโอกาสค่อนข้างสูงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bp เป็น 1.25% ในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.นี้ และอาจปรับลดอีกสองครั้งในปี 69 มาอยู่ที่ 0.75% ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากการปรับลดดอกเบี้ยมากที่สุด ขณะที่รัฐบาลอาจมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการจับจ่ายซื้อสินค้าช่วงเทศกาล มองว่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนนโยบายซื้อหนี้เสีย (NPL) วงเงินต่ำจากธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อจะเป็นผลดีต่อทั้งสองกลุ่มนี้
คาด SET ปีหน้า 1,370-1,400 จุด
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ CGSI คาดดัชนีฯ สิ้นปี 69 จะอยู่ที่ 1,400 จุด ซื้อขายที่ P/E ราว 15.50 เท่า แต่หากไม่รวม DELTA ดัชนีฯ จะซื้อขายอยู่ที่ P/E เพียง 11.8 เท่า หรือประมาณ -1.5SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี และเนื่องจากตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ เชื่อว่ามูลค่าเริ่มน่าสนใจ ขณะที่ภูมิทัศน์ทางการเมืองก็ชัดเจนขึ้น, อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาเพิ่มเติม รวมทั้งเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ น่าจะช่วยกระตุ้นการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
ส่วนความเสี่ยงอาจมาจากการที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้า หลังไทยระงับปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา, การปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา, การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Rating) และเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว
สำหรับกลยุทธ์ การลงทุนเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง และได้รับอานิสงส์นโยบายรัฐบาล อาทิ ADVANC, BCPG, BDMS, CPN, MINT, MTC, PR9, SCB และ TRUE
กิมเอ็ง ให้เป้า SET ปีนี้ 1,290 จุด - EPS 87 บาท
ด้านบทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คงเป้าประมาณการกำไร บจ.ปี 68 ที่ 87 บาท และ SET Index ที่ 1,290 จุด แม้กําไรไตรมาส 3/68 ดีกว่าตลาดคาด 6% แต่ในเชิงการกระจายตัวสะท้อนกําไรบริษัทส่วนใหญ่เป็นไปตามคาด (57% ของจํานวนหุ้นที่มีคาดการณ์) ประกอบกับเศรษฐกิจข้างหน้าที่เผชิญความท้าทาย จากความไม่แน่นอนภาษีสหรัฐฯ การฟื้นตัวภาคท่องเที่ยวและปัญหาหนี้ครัวเรือน จึงเป็นเหตุให้ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มประมาณการกําไร
ทั้งนี้ กําไรบริษัทใน SET (ไม่รวม PF&REIT) งวดไตรมาส 3/68 ข้อมูลถึงวันที่ 17 พ.ย.68 คิดเป็น 92% ของ Market Cap. มีกําไรสุทธิรวม 2.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) แต่ลดลง 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) การหดตัว QoQ มาจากกําไรกลุ่มพลังงาน -45% กลุ่มวัสดุก่อสร้าง -89% กลุ่มอาหาร -38% กลุ่มค้าปลีก -8% กลุ่มขนส่ง -40% ส่วนการขยายตัว YoY หนุนหลักกลุ่มโรงกลั่น +78% กลุ่ม ICT จากการ Turnaround ของ TRUE และกําไรที่เติบโตของ ADVANC ระดับ +37% กลุ่มธนาคาร +14% กลุ่มอิเล็คทรอนิกต์ +17%
ส่วนปี 69 คาดกำไร บจ. อยู่ที่ 92 บาท และ SET Index สิ้นปีที่ 1,370 จุด แม้ยังมีความเสี่ยงทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน แต่เชื่อว่า Downside ก็จำกัดเช่นกัน
แนะนำ เลือกหุ้นธีม "Earnings Play" โดยเน้นที่แนวโน้มกำไรหลักไตรมาส 4/68 เติบโตเด่นและต่อเนื่องในปี 68 อาทิ AMATA, AP, BCPG, COM7, CPN, MINT, MTC, TRUE, WHA และ WHAUP
ASP คงเป้า SET สิ้นปีนี้ที่ 1,376 จุด - EPS 86 บาท
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ยังคงเป้า SET Index ณ สิ้นปีนี้ที่ 1,376 จุด และ กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 86 บาท เนื่องจากคาดกำไร บจ.ปีนี้ที่ 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งไตรมาส 3/68 กำไรรวมฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติ (ไตรมาสละ 2.5 - 2.6 แสนล้านบาท) เมื่อรวม 9 เดือนปีนี้ ตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 8.73 แสนล้านบาท ดังนั้นไตรมาส 4/68 หากทำได้อีกเพียง 2.17 แสนล้านบาท (ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ด้วย ที่สำคัญเป็นไฮซีซั่น) ก็จะสามารถถึงเป้าหมายที่คาดการณ์ได้ไม่ยาก
" ช่วงที่ตลาดฯ มีวอลุ่มต่ำ หุ้นไม่ค่อยวิ่ง ต้องเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงที่มี Valuation ต่ำ และผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโต รวมถึงต้องมีอัตรา Dividend Yield สูงด้วย จึงจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยในช่วงนี้" นายภราดร กล่าว