คับคั่งทีเดียวกับเวทีสัมมนาใหญ่ “iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 – จับสัญญาณอนาคตก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย” เพื่อถอดสัญญาณแนวโน้มเศรษฐกิจโลก-ไทย ปี 2569 ระดมความเห็นจากผู้นำภาครัฐ เอกชน และนักวิเคราะห์ชั้นนำของประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์รับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2569
ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และวิทยากรหลากหลายจากตัวแทนภาคเอกชนและบริษัทชั้นนำของประเทศไทยร่วมบรรยาย อาทิ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ดร. นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ Green Business 2026 : พลังงานใหม่-ท่องเที่ยวยั่งยืน-นวัตกรรมสีเขียวเจาะกลยุทธ์เชิงรุก คว้าโอกาสใหม่ขับเคลื่อนธุรกิจไทย จากผู้บริหารองค์กรชั้นนำ ประกอบด้วย คุณรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คุณพนาสันต์ สุจริตพานิช ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารงานกลาง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) คุณเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ บริษัท แกร็บ ประเทศไทย และคุณสมานนพพล รัตนธรรมทิตยา ผู้บริหาร สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) และผู้รับหน้าที่พิธีกรภายในงาน คุณแบงค์ พชร ปัญญายงค์
คลังชี้ “ชีพจรเศรษฐกิจไทย” กระตุกฟื้น รัฐอัดเม็ดเงินเกือบแสนล้าน ดัน GDP Q4 โต 1.1%
ทั้งนี้ คุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงานระบุว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้หลุดพ้นจาก “เศรษฐกิจติดหล่ม” โดยเป็นการร่วมมือกับภาคเอกชน จนเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้นอย่างมาก โดยในเชิงธุรกิจสามารถก้าวได้เร็วขึ้น ขณะที่ในเชิงประเทศก็ต้องเตรียมความพร้อมที่จะเร่งผลักดันให้สัญญาณนี้ยังเป็นสัญญาณที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนชีพจรที่ถูกกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านโครงการสำคัญ อาทิ การเร่งคืนหนี้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), การเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, โครงการเที่ยวดีมีคืน, การเร่งเบิกจ่ายของส่วนราชการ และโครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท และได้ช่วยให้บรรยากาศเศรษฐกิจทั่วประเทศเริ่มกระตุกขึ้นมา ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยไม่ได้มีการกู้เงินใหม่ อันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเข้มข้น
“สิ่งที่รัฐบาลเห็นในวันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา คือ สัญญาณเศรษฐกิจที่แผ่วมาก เหมือนชีพจรที่เต้นเบาจนเกือบจะดับ เศรษฐกิจไทยเหมือนจะดิ่งเหว แม้จะยังไม่ถึงกับตกเหว แต่ก็ติดหล่ม เหลืออยู่อีกนิดเดียวก็จะตกเหว และจากการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งหมดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 ที่จากเดิมคาดว่าจะโตได้ 0.3% เกือบจะดิ่งเหว ขยับขึ้นมาได้เป็น 1.1% นี่เป็นสัญญาณเศรษฐกิจแรกที่เห็น” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว
ดร.เอกนิติ กล่าวต่อไปว่า สัญญาณเศรษฐกิจที่ 2 ที่รัฐบาลเริ่มเห็น คือ การย้ายฐานการผลิต หลังจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งไทยและอาเซียนถูกจับตามองว่าเป็นประเทศที่เหมาะแก่การลงทุน ส่งผลให้ตัวเลขการเคลื่อนย้ายการลงทุนของไทยและอาเซียนในปีที่ผ่านมาเติบโตเป็นบวก สวนทางกับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งสะท้อนจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็น 90% โดยโครงการเติบโตขึ้นเกือบ 30% ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ ดาต้าเซ็นเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ เซมิคอนดักซ์เตอร์ อีวี-ไฮบริด และเวลเนสเซ็นเตอร์ เป็นต้น แต่ต้องยอมรับว่ามีเม็ดเงินที่ขอรับการลงทุนค้างท่ออยู่ถึง 4.7 แสนล้านบาท
โดยประเด็นนี้ รัฐบาลให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ต้องเร่งปลดล็อก เพื่อผลักดันให้เม็ดเงินสามารถลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังติดปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎระเบียบ และข้อกฎหมายซึ่งยังเป็นอุปสรรค ดังนั้นจึงมีแนวคิดในการเดินหน้าโครงการ Fast Pass ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น เพื่อเร่งปลดล็อกให้เม็ดเงินที่ค้างท่อเข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น และจะมีอุตสาหกรรมใหม่ที่มาต่อยอดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569
จี้รัฐบาล : รื้อกฎหมาย-เร่ง FTA-บริหารน้ำ-ลงทุนคน
ด้านคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในงานเดียวกันว่า สภาอุตสาหกรรมฯ สรุปข้อเสนอถึงภาครัฐใน 5 มิติหลักคือ
1. Next Gen Industry รัฐบาลต้องมีนโยบายเชิงรายละเอียดและสนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงเชิงสัญลักษณ์ โดยดูตัวอย่างจากความสำเร็จของประเทศจีนที่ผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นระบบ
2. กฎหมายล้าสมัยกฎหมายที่มีอยู่กว่าหนึ่งแสนฉบับต้องเร่ง “รื้อและลด” อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพื่อคลี่คลายความยุ่งยากและซ้ำซ้อน ขณะนี้มีทีมของ ศ.บวรศักดิ์ ร่วมกับภาคเอกชนกำลังเดินหน้าทบทวนอยู่ แต่จำเป็นต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน
3. BCG Model และการปรับกฎหมายให้สอดคล้องต้องทำ BCG Model ให้ “เต็มรูปแบบ” ไม่ใช่เพียงคำขวัญ พร้อมปรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดรับ เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงได้จริง
4. FTA และโครงสร้างพื้นฐาน-น้ำ เร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) และ Free Trade/Free Zone ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือน้ำแล้ง แต่ต้องจัดการน้ำให้ “เป็นประโยชน์” ต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรม
และสุดท้าย 5. Human Development - การพัฒนาคนทักษะสูงอุตสาหกรรมแห่งอนาคตต้องการแรงงานทักษะสูง ทักษะแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป ภาครัฐจึงต้องให้ความสำคัญกับการอัปสกิล-รีสกิลอย่างจริงจัง
รัฐต้องเร่งปลดล็อกกฎหมายซ้ำซ้อน
ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวภายในงานด้วยว่านักลงทุนต่างชาติที่สนใจประเทศไทยจำนวนมาก “สับสน” กับระบบกฎหมายและขั้นตอนของไทย ทั้งด้านภาษี การนำเข้า-ส่งออก และกฎระเบียบเฉพาะอุตสาหกรรม
“ปัญหาคือว่าขั้นตอนข้างใน มีกฎระเบียบเยอะเหลือเกิน วิธีปฏิบัติให้มันถูกต้อง ต่างชาติบางครั้งไม่เข้าใจว่าต้องลงทุนกันยังไง ตัวอย่างคือกรณีสินค้าบางประเภทที่ไทยมีศักยภาพและเป็นฐานการผลิตใหญ่ แต่ขั้นตอนอนุมัติ ซ้ำซ้อนและยืดเยื้อ ทำให้ต่างชาติรู้สึกว่ากฎระเบียบไทย ‘ยุ่งยากเกินไป’ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง”
ทั้งนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การมีกฎหมายควบคุม แต่คือการออกกฎหมายและกฎย่อยจำนวนมาก โดยไม่เคย “รื้อและยกเลิกของเก่า” ให้ทันสมัยและสอดคล้องกัน ทำให้ระบบโดยรวมกลายเป็นภาระต่อการลงทุน
TDRI แนะปรับตัวรับเทรดวอร์สหรัฐ-จีนลากยาว
ดร.นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวภายในงานว่า สงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยอย่างแรก เราต้องยอมรับว่า ตอนนี้มีหลักฐานชัดเจนมากขึ้นว่า “มาตรการภาษี การกีดกันทางการค้า” ไม่ได้เป็นแค่ความคิดเฉพาะตัวของผู้นำคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่ถูกใช้ใน “สงครามเชิงโครงสร้างระหว่างสองขั้วอำนาจ” คือ สหรัฐฯ กับจีน
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ในอนาคต ศาลหรือกลไกต่าง ๆ จะบอกว่า ผู้นำบางคน “ใช้อำนาจเกินขอบเขต” หรือ “ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย” มาตรการบางอย่างอาจถูกลดความรุนแรงลง แต่ไม่ได้แปลว่า ความเสี่ยงจะหายไปเพราะสุดท้าย อาจจะมีผู้นำคนใหม่ หรือมีเครื่องมือใหม่ ๆ ถูกคิดขึ้นมาใช้ต่อในสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจอยู่ดีต่อให้ตัวละครเปลี่ยน กติกาบางส่วนเปลี่ยน แต่ “โครงเรื่องใหญ่เรื่องการแย่งชิงอำนาจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน” ยังอยู่ และนี่คือบริบทที่ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ต้องอยู่ร่วมและปรับตัวให้ทันในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า
ปัจจุบันจะพบว่าโครงสร้างของสหรัฐ “ไม่ยั่งยืน” หนี้มีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นมันเป็นเพียง “เรื่องของเวลา” ว่า วันใดวันหนึ่ง หากสหรัฐไม่สามารถเติบโตแบบเดิมได้ ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะต้อง “หาเครื่องมือใหม่” มาช่วยหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกพูดถึงก็คือ Trump Tariff จึงถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่ง “เครื่องมือ” ที่จะยังอยู่ต่อในอนาคต ไม่ใช่ของชั่วคราว
นอกจากความเห็นจากภาครัฐและตัวแทนภาคเอกชนแล้ว ผู้เข้าร่วมงานยังให้ความสนใจติดตามการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ Green Business 2026 : พลังงานใหม่-ท่องเที่ยวยั่งยืน-นวัตกรรมสีเขียว เจาะกลยุทธ์เชิงรุก คว้าโอกาสใหม่ขับเคลื่อนธุรกิจไทยกันอย่างต่อเนื่อง
ปตท. มุ่งมั่นสร้างสมดุลด้านพลังงาน
โดยเริ่มต้นจาก คุณรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ให้ความเห็นว่า ความสมดุลด้านพลังงาน (Energy Trilemma) ต้องพิจารณา 3 ปัจจัย คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และราคาต้องเข้าถึงได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ปตท. ที่เข้ามาบริหารให้เกิดความสมดุล
ในอนาคตพลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียนนับวันจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) แต่ด้วยข้อจำกัดของพลังงานหมุนเวียนเกี่ยวกับความมั่นคง เพราะไม่สามารถผลิตใช้ได้ 24 ชั่วโมง ทำให้ก๊าซธรรมชาติยังมีบทบาทสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน แต่ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล ดังนั้นกลยุทธ์ของ ปตท. ในการผลักดัน Green Business โดยเชื่อมโยงความยั่งยืนในกลยุทธ์และทิศทางองค์กร ซึ่ง ปตท. วางเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero ในปี ค.ศ. 2050
เร่งเครื่องโครงการ CCS หนุนไทยบรรลุเป้า Net Zero
คุณรัฐกร กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ค.ศ. 2050 คือ C3 ประกอบด้วย C1 : Climate-resilience Business โดย ปตท. ลดพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง อาทิ การขายธุรกิจถ่านหินออกไป
C2 : Carbon-conscious Asset การปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิตและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ
C3 : Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All เป็นการร่วมมือรวมพลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างประเทศ เพื่อผลักดันการลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ
คุณรัฐกร กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท. มีแนวทางชัดเจนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามที่วางไว้ ซึ่งมีหลายวิธี เช่นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การขายสินทรัพย์ที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง การปลูกป่า ลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาด การพัฒนาโครงการ CCS และการใช้ไฮโดรเจน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero
BDMS ชู “Green Healthcare + AI” รับสังคมสูงวัย
คุณพนาสันต์ สุจริตพานิช ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารงานกลาง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันธุรกิจการแพทย์ หรือโรงพยาบาลมีความท้าทายตลอด ภาพที่เห็นขณะนี้คือ เรื่องของสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) เป็นตัวบนสุดในห่วงโซ่ของ Mega Trend in Healthcare
ภาพรวมทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่ BDMS ต้องทำ พร้อมกับการวางแผนด้าน ESG เรื่องสิ่งแวดล้อมก็สำคัญและในธุรกิจ Healthcare ทำได้แค่ส่วนหนึ่ง เพราะเราใช้เท่าที่มีอยู่ ส่วนเรื่องของสังคม ถือเป็นเรื่องหลักที่ธุรกิจ Healthcare ต้องใส่ใจทั้งภายในและภายนอก ทั้งบุคลากรที่อยู่กับและเรื่องของสิ่งแวดล้อม
“BDMS ได้นำ AI มาใช้ รวมถึงการขนส่งด้วยการนำรถ EV รวมทั้ง Green Healthcare เรื่องของการออกแบบ ที่ต้องบริหารจัดการต้องเรียกว่า ธุรกิจ Healthcare เป็นธุรกิจหลักของเรา ธุรกิจรีไซเคิลนั่นไม่ใช่ Healthcare ก็หวังว่าที่เราทำมานั้น ทำให้เราบริหารจัดการได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นการลดต้นทุนไปในตัวด้วย”
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีการใช้ AI มากขึ้น อย่าง Start Up ได้รับความสนใจมากทั้งสหรัฐและไทย ซึ่งมีนักเรียนแพทย์ไปทำงานวิจัยจำนวนมาก ในส่วนของ BDMS นั้น นำ AI มาใช้ในการรักษา 10 ปีแล้ว ขณะที่ส่วนของการจัดการภายใน ได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ ร่วมด้วยเพื่อลดการใช้พลังงาน ลดการขยะ กระดาษน้อยลง และเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการรักษาด้วย
"สำหรับขยะที่เกิดจากการรักษามี 2 ส่วน ในส่วนของติดเชื้อเราควบคุมไม่ได้ แต่ส่วนขยะบางอย่างของการใช้วัสดุในห้องผ่าตัดที่ใช้ไม่หมด เราต้องพิจารณาแก้ไขเพื่อควบคุม ส่วนที่พึ่งคนอื่นอย่าง ไฟฟ้า น้ำมันและแหล่งพลังงาน เราควบคุมไม่ได้ แต่อีกส่วนที่คนค้าขายและส่งหรือซัพพลายเออร์ของให้ BDMS ที่ต้องใช้เวลาอีก”
‘แกร็บ’ รุก ESG ผสาน EV-พลังงานหมุนเวียน-AI
คุณเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ บริษัท แกร็บ ประเทศไทย บอกว่าแนวทางการดำเนินงานด้าน ESG ซึ่งมุ่งโฟกัสที่ Triple Bottom Line หรือ 3P ได้แก่ Performance People และ Planet โดยเฉพาะด้าน Planet
โดย Grab ตั้งเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2040 ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ โดยกลยุทธ์แรกคือ การยกระดับ การสร้างการยอมรับและการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ปัจจุบัน Grab เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้าน EV ในประเทศไทย โดยเริ่มจากการสร้างแคมเปญ Grab Green View ตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19
กลยุทธ์ต่อมาคือ การใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ในอาคารสำนักงาน ปัจจุบัน Grab ดำเนินงานใน 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีนโยบายชัดเจนว่าจะ เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมดภายในปี 2040
นอกจากนี้ยังผลักดัน ธุรกิจและเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดและร่วมรณรงค์รักษ์โลก
“ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเวลาสั่ง Grab Food ก็จะเห็นว่า มีตัวเลือกให้เลือกว่า ไม่รับช้อนส้อม นี่ก็เป็นการช่วยลดขยะแล้วก็ลดมลพิษให้กับสังคมได้หรือแม้กระทั่งใน Mobility ก็จะมีให้ผู้เดินเลือกได้ว่า ต้องการ Prefer ที่จะเป็นรถ EV ก่อน ดังนั้นในระบบก็จะหารถ EV ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เป็นการช่วยกระตุ้นให้กับผู้บริโภคที่ต้องการรณรงค์ในเรื่องของพลังงานสะอาด”
อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ เน้นว่า การทำให้เป้าหมายเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ยังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะ “ต้นทุน” ของการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในไปสู่รถ EV ปัจจุบัน ผู้บริโภคยังต้องการใช้รถเดิมให้คุ้มค่าก่อน
ท่องเที่ยวไทยคิดไกลถึงปี 2027 ผนึกเอกชนสู่โมเดลท่องเที่ยวยั่งยืน
ด้านคุณสมานนพพล รัตนธรรมทิตยา ผู้บริหาร สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ให้ความเห็นด้วยว่า สิ่งสำคัญของการท่องเที่ยวไทยในอนาคตว่าต้องเน้นไปที่ความยั่งยืน “การท่องเที่ยวไทย เป็นหนึ่งในพลังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในฐานะผู้ประกอบการ เราเป็นตัวแทนที่เจอ Tour operator หรือ ผู้ประกอบการทัวร์ Travel Agency อื่น ๆ ที่เข้ามาในไทย เช่น โรงแรม ที่พัก อยู่ในกลุ่ม CF-Hotels (Carbon Footprint Hotels) ไหม? รถที่ใช้เป็น EV ได้ไหม? การลดการใช้พลาสติก คุณทำอะไรกันได้บ้างไหม? เช่น เราเดินทางด้วยรถบัส เราก็ต้องนำเสนอกับ Tour operator หลัก เขาต้องการลดการใช้พลาสติก เพราะลูกค้าของเขาจะนำแก้วมาเอง เราก็ต้องมีจุดที่เขาสามารถรีฟิลน้ำได้ รวมถึงบนรถบัสด้วย ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดหลักเหมือนกันที่ Tour Operator เขามอง”
“มาตรฐานของตัวโครงการ CF-Hotels ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำขึ้นมา ผมมองว่าจะเป็นจุดหนึ่งที่เราสามารถนำไปใช้ให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการท่องเที่ยว เราจะต้องปรับโครงสร้าง และต้องเตรียมตัวว่า Tour operator ต่อไป เขาจะบุ๊คกับบริษัททัวร์ที่มองเรื่อง Green เราจะต้องพัฒนาบุคลากร เช่น มัคคุเทศก์ ดื่มขวดน้ำพลาสติกต่อหน้านักท่องเที่ยวก็ต้องมีแก้วน้ำพกพาเป็นของตนเอง เป็นหลักทางเลือกอีกทางหนึ่ง รวมถึงการสร้างความสมดุลในการท่องเที่ยว อย่างเวลาเราจัดเส้นทางท่องเที่ยว เราสามารถทำให้เขารู้สึกว่าเขามาท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงล้างผลาญ ไม่ได้มาทำลายสิ่งแวดล้อม ก็จะเป็นอีกจุดหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย”
โดยคุณสมานนพพล รัตนธรรมทิตยา ยังได้กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การท่องเที่ยวได้จับมือกับร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก กลุ่มภาคธุรกิจหลากหลายแห่ง อาทิ Grab ปตท. หรือโรงพยาบาลกรุงเทพ (BDMS) เป็นต้น
“ประเทศไทยเป็นจุดมุมมองหลักในเอเชีย เขาจะมองว่าประเทศไทยทำอะไร เขาจะทำตาม เราต้องสร้าง Strategy ใหม่ ในเรื่อง Green Model ท่องเที่ยว เราจะหามาตรฐานใดที่จะสามารถทำให้ Tour Operator มั่นใจในการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งภาคเอกชนของเราก็ร่วมมือกัน”
“อย่างตอนนี้เราได้คุยกับทาง Grab อยู่แล้วว่า อยากให้ช่วยเสริมรถตู้ EV เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว หรือ ปตท. ผมอยากให้ทำตัว EV Station Plus เพิ่มขึ้น เพราะตลาดโดเมสติก (Domestic) ในการเดินทางต้องการจุดมั่นใจในการเติม เป็นต้น ภาคการท่องเที่ยว เราไม่ได้คุยเป็น FORUM ปี 2026 เพราะตอนนี้เราจะขายโปรแกรมทัวร์ ขายเส้นทาง เราต้องร่วมกับชุมชน ซึ่งเราคิดไปถึงปี 2027 แล้วครับ”
ทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของเวที “iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026” ที่น่าจะสะท้อน “โจทย์ใหญ่” ร่วมกันของประเทศ ตั้งแต่การปลุกชีพจรเศรษฐกิจให้หลุดจากภาวะติดหล่ม ไปจนถึงการวางรากฐาน Green Business ท่ามกลางสงครามการค้าและการแข่งขันเชิงโครงสร้างระหว่างสหรัฐ-จีน ที่เราจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทันทั้งในมิติ “โครงสร้างเศรษฐกิจ” และ “มาตรฐานสิ่งแวดล้อม-สังคม” หากไม่อยากพลาดโอกาสใหม่ของโลกในอนาคต