ส่องเรื่อง “การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม” เมื่อรัฐบาลยังคงมุ่งผลักดันพลังงานฟอสซิล ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรือไม่ พร้อมจับตาแผน PDP 2025 ต้องมีหน้าตาอย่างไรถึงจะสอดคล้องกับ NDC3.0 และ Net Zero 2050 จากเวทีเสวนา “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” เมื่อ 7 พ.ย.2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
“ใน NDC3.0 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยใช้คำว่า การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างเป็นธรรม หรือ Just Transition” นี่คือข้อสังเกตของ สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการ Climate Finance Network Thailand (CFNT) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ป่าสาละ จำกัด และได้ตั้งคำถามต่อว่า ในทางปฏิบัติแล้วจะแตกต่างจากเดิมอย่างไร ?
สฤณี อธิบายถึงความหมายของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานว่า เป็นการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานที่คาร์บอนสูงไปสู่แหล่งผลิตคาร์บอนต่ำ หรือคาร์บอนเป็นศูนย์ “ถ้าจะให้มีความยุติธรรมต้องคำนึงว่าใครจะเป็นผู้ได้ผู้เสียจากการเปลี่ยนผ่าน และกลุ่มเปราะบางผู้สุ่มเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังจะต้องได้รับการดูแล รวมถึงแรงงานที่อยู่ในโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ถูกออกจากงานก่อนกำหนดจะต้องทำอย่างไร เราจะทำยังไงให้กระจายผลประโยชน์อย่างยุติธรรม เราทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน โดยเฉพาะแผน PDP ที่ประชาชนมีส่วนร่วมน้อยลงเรื่อย ๆ”
“ที่ผ่านมาเราอาจมองไม่เห็นความอยุติธรรมต่าง ๆ เช่น ต่อกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์โดยโครงการพัฒนาพลังงานต่าง ๆ ที่สั่งสมมาในอดีต ที่นำไปสู่การริดรอนสิทธิมนุษยชน เราต้องตระหนักว่ามีความไม่ยุติธรรมอยู่ และมีพื้นที่ที่เคยได้รับผลกระทบมาแล้วในอดีต อย่างเช่น อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง จะต้องได้รับการเยียวยาฟื้นฟูในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานเช่นกัน” สฤณี กล่าว “การใช้คำว่าการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจึงอาจเป็นเพียงวาทกรรมที่ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติจริง ในความเป็นจริงประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมมากขึ้น ยังสงวนอำนาจการตัดสินใจไว้กับคนกลุ่มเดียว และสงวนอำนาจในการจัดการพลังงานไว้กับกลุ่มทุนหน้าเดิม ๆ”
ประชาธิปไตยพลังงาน เป็นแนวทางที่ สฤณี เสนอแทนที่วาทกรรมการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรม กล่าวคือจะต้องเป็น “โลกที่ประชาชนไม่ได้มีแค่ส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าเราจะใช้พลังงานแบบไหน แต่มีอำนาจในการผลิตพลังงาน เพราะพลังงานหมุนเวียนที่มีจำนวนมากนั้น ไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก แต่สามารถผลิตได้ในครัวเรือน หรืออีกนัยคือ มีประชาธิปไตยในการผลิตพลังงานมากขึ้น”
การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรมจะต้องเริ่มจากการเห็นพ้องต้องกันก่อนว่า อะไรไม่ยุติธรรม โดยสฤณียกตัวอย่างถึงหากประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิล จะต้องคำนึงถึงแรงงานในโรงไฟฟ้าทั้งถ่านหินและก๊าซ จะต้องมีแผนรองรับและสนับสนุนแรงงาน ซึ่งยังไม่เห็นถึงแผนตรงนี้ชัดเจน ขณะที่รัฐบาลยังใช้มาตรการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีแม้ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน นอกจากนี้โครงการพลังงานไม่ควรดูแค่ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะโครงการพลังงานหมุนเวียนก็สามารถสร้างผลกระทบได้ เช่น เขื่อนขนาดใหญ่ที่สร้างผลกระทบข้ามพรมแดนและการโยกย้ายถิ่นอย่างไม่เป็นธรรม โรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่ขาดการกำกับดูแล รวมถึงเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS)
การประกาศเป้าหมาย Net Zero ของธนาคารไทยนั้นยังไม่ได้คำนึงถึงก๊าซเรือนกระจกที่ปลดจากบริษัทที่กู้ยืมเงินลงทุนจากธนาคาร ซึ่งควรจะถือเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน เช่น โรงไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ธนาคารให้กู้ยืมสินเชื่อที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 3 สฤณีกล่าวว่า “คำที่สำคัญกว่า Green Finance คือ Transition Finance หรือการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้ลูกค้าโรงไฟฟ้าฟอสซิลสามารถปิดโรงไฟฟ้าของตนได้ก่อนกำหนดแล้วเปลี่ยนไปเป็นพลังงานหมุนเวียนแทน นี่เป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรมต่อแรงงานโดยการช่วยเหลือจากสถาบันธนาคารโลก ซึ่งจะเป็นทั้งการประหยัดต้นทุน และช่วยเหลือแรงงาน นี่เป็นกลไกที่ภาคการเงินสามารถทำได้ และธนาคารไทยสามารถก้าวมาเป็นผู้นำได้เพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรม”
แผน PDP ต้องมีหน้าตาอย่างไรถึงจะสอดคล้องกับ NDC3.0 และ Net Zero 2050
ธารา บัวคำศรี ผู้ร่วมก่อตั้งกรีนพีซ ประเทศไทย และผู้อำนวยการโครงการ Climate Connectors ระบุว่า ความแตกต่างระหว่าง NDC 2.0 และ 3.0 คือ การที่ NDC 2.0 ใช้วิธีการคิดกรณีฐานจากการดำเนินกิจกรรมตามปกติ (Business as usual: BAU) ในปี พ.ศ. 2573 (ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 555 ล้านตัน) แต่หลังจากปรับปรุงแนวทางการร่วมมือระหว่างประเทศ UNFCCC แนะนำให้ใช้วิธีคิดแบบระดับการปล่อยสุทธิของปีฐาน พ.ศ.2562 (ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 379.2 ล้านตัน) จึงนำไปสู่ NDC 3.0 ที่ใช้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริงของประเทศไทย โดยครอบคลุมทุกภาคส่วนตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน “แม้ว่าประเทศไทยจะส่งแผน NDC 3.0 ไปยัง UNFCCC ก่อนการประชุม COP30 แล้ว ขณะเดียวกัน อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ได้บอกว่าแผน PDP ที่ร่างยังไม่เสร็จ ให้กลับไปใช้แผนพีดีพี 2018 ปรับปรุงครั้งที่หนึ่ง ซึ่งแผนพีดีพีนี้ล้าหลังและไม่สอดคล้องกันอย่างยิ่งกับแผน NDC 3.0”
“ถ้าไฟฟ้าไทยยังสกปรกด้วยพลังงานฟอสซิลก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้ แผน PDP จึงต้องสอดคล้องกับแผน NDC 3.0 ด้วยการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงาน กล่าวคือจะต้องไม่เกิน 60 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่าในปี 2030 เพื่อให้ไปถึงเป้าการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส” ธารากล่าว “ถ้าเราไม่เปิดพื้นที่ให้กับการผลิตไฟฟ้าของไทยไปสู่ระบบพลังงานที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมาก ภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ก็จะลดได้ยาก”
“ผมก็สงสัยว่าถ่านหินแม่เมาะจะปลดระวางเมื่อไร เพราะไปสังเกตดูในพื้นที่ก็ยังคงมีการขุดเจาะและทำงาน แผนปลดระวางที่ไม่ชัดเจนนี้ยังสะท้อนถึงเหตุการณ์ความเสียหายล่าสุดจากเหตุดินถล่มเหมืองแม่เมาะ ความคิดของคนทำงานกระทรวงพลังงานเองก็ยังมองฟอสซิลเป็นฐานพลังงานหลัก แต่หากเราต้องการมุ่งเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจริงเราต้อง “ปรับโครงสร้างทั้งหมดของระบบพลังงาน” จากระบบที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ไปสู่ระบบที่มีความยืดหยุ่น ให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก และบริหารจัดการแบบกระจายศูนย์ (decentralized system) รวมถึงรื้อสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้าจาก LNG การทำแบบนี้จะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของไทยไปยังเป้าหมาย Net Zero ที่ระบุว่า ภาคไฟฟ้าควรใช้ก๊าซฟอสซิลน้อยกว่าร้อยละ 20 ภายในปี 2050 และแผน PDP ต้องล้อไปตามนั้น” ธารากล่าว
“แทนที่แผน NCD 3.0 ระบุรายละเอียดทางการเงินสำหรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรม เช่น การปลดระวางถ่านหินและการชดเชยเยียวยาแรงงาน แต่กลับเน้นหนักไปทางเทคโนโลยีเช่น โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล (Offshore CCS) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี ที่ชี้แจงว่าเป็นสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือจากกองทุนเพื่อช่วยการลดก๊าซเรือนกระจกในไทย” ธาราชี้แจงอีกครั้งถึงความไม่ตรงปกและเราอาจจะไม่ได้เห็นความเป็นธรรมของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานภายใต้แผน NCD 3.0 ที่ไทยเสนอ
“ทุกอย่างมีต้นทุน และต้นทุนเหล่านี้จะอยู่ในบิลค่าไฟของเรา ทั้งหมดนี้เราต้องตั้งคำถามว่า ตัวเลือกที่ NCD 3.0 เลือกมาได้ถามประชาชนหรือไม่ ทำไมต้องโฟกัสที่ CCS ทั้งที่สามารถลงทุนการเพิ่มขีดความสามารถพลังงานหมุนเวียนได้” สฤณี สะท้อน
“ถ้าเรายังฝืนที่จะเผาก๊าซฟอสซิลต่อไป และแก้ปัญหาด้วยการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงใต้ดินด้วยเทคโนโลยี CCS ที่แพงมหาศาล ท้ายที่สุดแล้วต้นทุนค่าไฟก็จะแพงยิ่งขึ้นไปอีก” รศ.
ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริม
“ที่น่าสังเกตคือ ถ้าหากแผน PDP ไม่สามารถดำเนินการสอดคล้องไปกับแผน NDC 3.0 แล้วประเทศไทยเราจะมีแผน NCD 3.0 ไว้ทำไม” นี่คือคำถามที่ธาราทิ้งไว้ให้กับทุกคนและรัฐบาลประเทศไทยที่กำลังอยู่ในเวทีโลก COP30 ขณะนี้ ความย้อนแย้งเหล่านี้ปรากฎอยู่ในแผนการที่รัฐบาลไทยยังผลักดันการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลที่ส่งผลเสียต่อคำมั่นภายใต้แผน NCD 3.0 สิ่งนี้อาจทำให้ประชาชนต้องสูญเสียทั้งต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อาชีพและถิ่นที่อยู่อาศัยของคนในพื้นที่ กับค่าไฟที่ยิ่งแพงขึ้นไปอีก แล้วอนาคตของประเทศไทยจะมุ่งไปทางไหนกันแน่? การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรม หรือเพียงแค่วาทกรรมบทแผนยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนเพียงแค่ตัวเลข แต่ยังคงติดกับอยู่กับวังวนของอุตสาหกรรมฟอสซิลที่ซ้ำเติมความไม่เป็นธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกให้กับประชาชน"