เวลานี้ประเทศที่มีอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(GDP)มากที่สุดในอาเซียนหนีไม่พ้นประเทศเวียดนามที่ปี2568เศรษฐกิจขยายตัว7-8% และตั้งเป้าไปอีก 5ปีข้างหน้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 10% ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวของเวียดจากปีนี้อยู่ที่ 5,500 เหรียญสหรัฐ และในปี 2030 จะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 8,500 เหรียญสหรัฐ ส่วนประเทศไทยGDP ปีนี้ขยายตัวต่ำสุดในอาเซียนเพียง 2.2%
จุดแข็งที่สำคัญที่ทำให้เวียดนามเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติไม่ว่าจะเป็นตลาดในประเทศที่มีขนาดใหญ่ด้วยประชากรราว 106 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวถึง70% ของประชากร ทำให้มีการบริโภคภายในสูง ค่าแรงที่ต่ำกว่าไทยถึง 15-20% รวมถึงราคาค่าไฟฟ้าก็ถูกกว่าไทยถึง 30-35%เนื่องจากไฟฟ้าส่วนใหญ่ของเวียดนามมาจากพลังงานน้ำมีต้นทุนที่ต่ำและเป็นพลังงานสะอาด สอดรับกับความต้องการใช้พลังงานสีเขียวของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้มูลค่าการลงทุนตรง (FDI) จากต่างชาติในปีที่แล้วสูงถึง 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยมีมูลค่าการลงทุนตรงจากต่างชาติเพียง 32,000ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนเสถียรภาพทางการเมืองของเวียดนามเรียกได้ว่ามั่นคง มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงผู้นำย่อมไม่มีผลต่อนโยบายรัฐที่ประกาศไว้ ทำให้การตัดสินใจและลงมือทำได้รวดเร็ว อาทิ การควบรวมการปกครองจาก 63 จังหวัดเดิมเหลือ 34 จังหวัด ลดข้าราชการ 2.5 แสนคน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร สนับสนุนการลงทุนและการส่งออก และช่วยประหยัดงบ 2.3 แสนล้านบาท
จึงไม่แปลกที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)(SCC)หรือเอสซีจี ใช้โอกาสการเป็น ASEAN Company ที่มีฐานการผลิตอยู่หลายประเทศในอาเซียน สร้างรายได้และกำไรเติบโตแทนประเทศไทยที่เศรษฐกิจชะลอตัว โดยงบลงทุนในปี2569 ส่วนใหญ่จะใช้ในการขยายการลงทุนเพิ่มในอาเซียนโดยเฉพาะเวียดนาม เพื่อเป็นฐานผลิตจำหน่ายในประเทศและส่งออกโดยอาศัยความได้เปรียบทั้ง 17 FTA ที่เวียดนามทำไว้ครอบคลุม 60 ประเทศทั่วโลก
นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ Country Director - Vietnam เอสซีจี และรองผู้จัดการใหญ่ เอสซีจีซี กล่าวว่า SCCเริ่มเข้ามาทำธุรกิจเทรดดิ้งในเวียดนามเมื่อ30ปีก่อน เห็นการบริโภคภายในประเทศเวียดนามที่สูงมาก ต้องนำเข้าสินค้าจากประเทศเป็นมูลค่าสูง จึงได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน SCC มีมูลค่าการลงทุนในเวียดนามกว่า 7,000ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 28% ของสินทรัพย์รวมเอสซีจี มี 28บริษัทและ 50โรงงานในเวียดนาม ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจเหมือนกับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเคมิคอลส์ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง กลุ่มปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงโลจิสติกส์ทั่วประเทศ ทำให้สามารถบริหารต้นทุนและห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการได้
อีกทั้ง เรายังสามารถผสานจุดแข็งระหว่างไทยและเวียดนามเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านเทคโนโลยี มาตรฐานความปลอดภัย และการบริหารโรงงานจากไทยสู่เวียดนาม โดยใช้เวียดนามเป็นฐานการส่งออก ด้วยความได้เปรียบด้านข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับกว่า 60 ประเทศ เช่น ส่งออกกระเบื้อง Glazed Porcelain ของ PRIME GROUP และซีเมนต์คาร์บอนต่ำไปยังสหรัฐอเมริกา ,การเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค เช่น ธุรกิจเคมิคอลส์ สามารถวางแผนการผลิตและการตลาดร่วมกันระหว่าง Cracker ทั้ง 3 แห่ง (ROC–MOC–LSP) โดยไทยเป็นฐานการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ขณะที่โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ครบวงจร LSP ( Long Son Petrochemicals :LSP) แห่งแรกของเวียดนาม มูลค่าการลงกว่า 5,000ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เพิ่งกลับมาเปิดโรงงานใหม่อีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากหยุดผลิตเมื่อเดือนตุลาคม2567 ก็มุ่งผลิตสินค้าปิโตรเคมี เพื่อตอบสนองตลาดขนาดใหญ่ในเวียดนามและส่งออกสู่ตลาดโลก
เวียดนามบ้านหลังที่2
ทั้งนี้ SCCมองเวียดนามเป็นบ้านหลังที่สอง เป็นทั้งตลาดและเป็นฮับเพื่อส่งออก ภายใต้กลยุทธ์ “Regional Optimization” การบริหารธุรกิจแบบบูรณาการทั่วอาเซียน โดยผสานจุดแข็งของแต่ละประเทศร่วมกัน ทั้งฐานการผลิต ทรัพยากร และศักยภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุน การตลาด และความยั่งยืน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบได้ดีเมื่อเทียบคู่แข่งทำให้เวียดนามเป็นฐานการผลิต เพื่อรองรับการบริโภคในประเทศและส่งออกสู่ตลาดโลก
ภายใต้กลยุทธ์ “Regional Optimization” ครอบคลุมทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่บริษัทได้มีการลงทุน ซึ่งแต่ละประเทศล้วนมีบทบาทสำคัญต่อความแข็งแกร่งให้เครือSCC พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
นายกุลเชฏฐ์ กล่าวถึงสถานการณ์ปิโตรเคมีโลกในปี2569ว่า ยังคงมีความผันผวนและท้าทายจากอุปทานส่วนเกิน ในขณะที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวมากนักจากสงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ราคาปิโตรเคมีทรงตัวแต่เชื่อว่าไม่ต่ำกว่านี้ เนื่องจากกำลังผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดน้อยกว่าปี2568 ที่มีถึง 10 ล้านตัน อีกทั้งจีนมีนโยบายให้โรงงานปิโตรเคมีและโรงกลั่นที่มีอายุมากกว่า20ปี ต้องปรับปรุงการผลิต ขณะที่เกาหลีใต้ 10บริษัทปิโตรเคมี บรรลุข้อตกลงการปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดกำลังการผลิตแนฟทาแครกกิ้งลง 25%ของกำลังการผลิตรวม 14.7ล้านตัน เชื่อว่าจะทำให้กำลังการผลิตปิโตรเคมีเดิมออกสู่โลกลดลง แก้ปัญหาราคาปิโตรเคมีตกต่ำจากกำลังการผลิตที่ล้นตลาด
อย่างไรก็ตาม บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัดหรือ SCGC ยังคงเดินหน้าและเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือความท้าทายต่าง ๆ โดยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและชูจุดแข็งสำคัญ อาทิ การมีฐานผลิต 3 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยมี LSP ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันระยะยาว ด้วยข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีการผลิตที่มีความยืดหยุ่นของ LSP ทำให้สามารถเลือกใช้วัตถุดิบทั้งแนฟทาและก๊าซโพรเพน (Flexible Feedstock) ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม เช่น ในช่วงนี้ที่ราคาก๊าซโพรเพนลดต่ำลงกว่าแนฟทา โรงงาน LSP สามารถปรับแผนการผลิตด้วยการเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซโพรเพนเป็น 70% และใช้แนฟทา30% เพื่อบริหารต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ปัจจุบันโรงงานLSP ตั้งอยู่ที่ตำบลลองเซิน จังหวัดโฮจิมินห์ ครอบคลุมพื้นที่ 2,900ไร่ มีโรงงานผลิตโอเลฟินส์ แครกเกอร์ขนาดใหญ่แห่งแรกในเวียดนามขนาด 1.35 ล้านตันต่อปี และมีโรงพอลิโอเลฟินส์ 3โรง ประกอบด้วย 2โรงผลิตพอลิเอทิลีน (HDPEและLLDPE) และโรงผลิตพอลิโพรพิลีน (PP) กำลังผลิตรวม 1.4ล้านตันต่อปี รวมทั้งมีท่าเรือ และถังเก็บสารเคมีและวัตถุดิบภายในพื้นที่
เร่งโครงการLSPEเสร็จเร็วกว่าแผนเดิม
สำหรับความคืบหน้าของโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP หรือโครงการ LSPE มูลค่าการลงทุน 500ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้บริษัทยังเดินหน้าต่อเนื่องตามแผน โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้างถังเก็บก๊าซอีเทน จำนวน 2 ถัง และปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อรองรับก๊าซอีเทน ซึ่งดำเนินการคืบหน้าไปแล้วกว่า 20% คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2570
อย่างไรก็ดี บริษัทจะเร่งการก่อสร้างถังเก็บก๊าซอีเทนให้เร็วขึ้นจากเดิมต้องใช้เวลา 36เดือน ก็หวังว่าจะเสร็จได้ภายใน30เดือน และอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทก๊าซฯที่ซัพพลายก๊าซอีเทนให้ เพื่อจะขอให้ส่งก๊าซอีเทนเร็วกว่ากำหนด เบื้องต้นบริษัทคาเว่าโครงการLSPEจะแล้วเสร็จในต้นไตรมาส4 ปี2570 ทำให้โรงงานLSP มีต้นทุนการผลิตลดลงและมีมาร์จินเพิ่มขึ้นราว 250เหรียญสหรัฐต่อตัน ทำให้โรงงานLSPสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
จากก่อนหน้านี้ โรงงานLSPเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้เพียงเดือนเดียวก็ต้องหยุดผลิตชั่วคราวในเดือนตุลาคม2567 เนื่องจากมาร์จินปิโตรเคมีต่ำมาก ทำให้ประสบปัญหาการขาดทุนหนัก และยังมีภาระค่าเสื่อมราคาเข้ามาเพิ่ม ทำให้ยิ่งผลิตยิ่งขาดทุน จนกระทั่งช่วงไตรมาส2มาร์จินปิโตรเคมีดีขึ้นทำให้บริษัทคัดสินใจกลับมาเดินเครื่องจักรโรงงานLSPอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2569 แต่ก็เผชิญกับมาร์จินปิโตรเคมีตกต่ำอีกรอบ แต่ยังดีที่คราวนี้ราคาก๊าซโพรเพนอ่อนตัวลง และโรงงานLSPออกแบบมาให้สามารถรองรับวัตถุดิบก๊าซฯได้ถึง 70% ทำให้เม็ดพลาสติกที่ผลิตได้ไม่ถึงกลับขาดทุน แต่ก็ไม่ได้กำไร แต่ก็มีข้อดีด้านอื่น อาทิ เป็นการเตรียมพร้อมด้านการตลาดภายในเวียดนาม โดยร่วมกับลูกค้าเพื่อพัฒนาสินค้าเพิ่มมูลค่า (HVA)ให้ตรงตามความต้องการ ทันทีที่โครงการLSPEแล้วเสร็จจะให้LSPเดินหน้าอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีไม่เกิน 10บริษัททั่วโลกที่มีการลงทุนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทน โดยในภูมิภาคเอเชียมีอินเดียและจีนที่ได้ลงทุนไปแล้ว ซึ่งโครงการนี้จะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นการเลือกใช้วัตถุดิบจากแนฟทาเป็นก๊าซอีเทนได้ หากอีเทนมีราคาถูกกว่าแนฟทา
BMPผู้นำตลาดท่อและข้อต่อพลาสติกพรีเมียม
นอกเหนือจากธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศเวียดนามแล้ว อีกหนึ่งธุรกิจที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับSCGC คือ ธุรกิจท่อและข้อต่อพลาสติก ภายใต้บริษัท บิ่นมินห์ พลาสติก (Binh Minh Plastics : BMP) ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HOSE) ประเทศเวียดนาม มี3โรงงาน และกำลังการผลิตรวม 1.5 แสนตันต่อปี โดยมีเครือข่ายจัดจำหน่ายครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 2,500 ราย
นายนิวัฒน์ อธิวัฒนานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BMP กล่าวว่า เวียดนามได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาติ ส่งผลให้ตลาดวัสดุก่อสร้างมีปริมาณความต้องการและมีอัตราการเติบโตสูงราว 9-10% แต่BMPตั้งเป้าปีนี้มียอดขายเติบโตขึ้น 18% เนื่องจากบริษัทมีด้านการผลิตและจำหน่ายท่อและข้อต่อพลาสติกเกรดพรีเมียม สำหรับใช้งานในกลุ่มที่อยู่อาศัยและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและเกษตรกรรม อาทิ ระบบประปา ระบบระบายน้ำ โทรคมนาคม และการก่อสร้าง โดยครองส่วนแบ่งการตลาดท่อราว 30%
นอกจากนี้ BMP ยังได้ร่วมมือกับบริษัทนวพลาสติกอุตสาหกรรม (NPI) ประเทศไทย ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโรงงานด้วยระบบ Automation & Robotics ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “สีเขียว” ซึ่งสินค้าของBMPได้รับการรับรองมาตรฐานด้านกรีนขั้นสูงสุดจากสิงคโปร์ และเป็นผู้ผลิตท่อที่ได้รับการรับรองวัสดุปลอดโลหะจากWRAS ทำให้ราคาสินค้าของบริษัทสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่าคู่แข่ง และได้รับการยอมรับจากตลาดเวียดนาม
นอกจากบริษัทฯ มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อตอบสนองกลุ่มตลาดใหม่ และพร้อมขยายการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมภูมิภาคอาเซียน ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังไม่มีแผนขยายการลงทุนเพิ่ม แต่ถ้ามีโอกาสบริษัทมองการทำM&Aโรงงานในประเทศเวียดนามเพื่อขยายกำลังการผลิต
“เราเชื่อมั่นว่า เวียดนามยังมีศักยภาพที่จะเติบโต และเราภูมิใจที่ได้ร่วมเดินบนเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านความร่วมมืออันแข็งแกร่งระหว่างไทย – เวียดนาม ซึ่งจะยิ่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาคอาเซียนโดยรวม ซึ่งการลงทุนใน LSP และ BMP เป็นตัวอย่างที่สะท้อนศักยภาพของเอสซีจีในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางความท้าทาย และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้และยั่งยืน” นายกุลเชฏฐ์ กล่าว