ตลอดช่วงปี 2563 - สิงหาคม 2567 มาเลเซียเผชิญวิกฤตพลังงานครั้งใหญ่ เมื่อแก๊งขุดคริปโตเถื่อนขโมยไฟฟ้าจากระบบอย่างมโหฬารกว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ สร้างความเสียหายเชิงโครงสร้างให้กับโครงข่ายไฟฟ้าทั่วประเทศ หน่วยงานรัฐต้องเปิดปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่ ยึดอุปกรณ์จากกว่า 13,827 จุดทั่วประเทศ ท่ามกลางข้อกังวลว่าอุตสาหกรรมคริปโตของมาเลเซียอาจถูกฉุดไม่ให้เติบโตเต็มศักยภาพ เพราะกฎหมายกำกับดูแลล่าช้าและคลุมเครือ
South China Morning Post รายงานอ้างอิงข้อมูลกระทรวงพลังงานของมาเลเซียที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลเชิงลบสะเทือนวงการเศรษฐกิจและพลังงาน ระบุว่า Tenaga Nasional Bhd (TNB) รัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้า สูญรายได้รวมกว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2563 ถึง สิงหาคม 2567 จากการถูกขบวนการขุดคริปโตลักใช้ไฟฟ้าอย่างผิดกฎหมาย โดยมีการตรวจพบสถานที่ลักไฟฟ้ากว่า 13,827 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการขุดบิทคอยน์
แม้การขุดคริปโตจะไม่ผิดกฎหมายในมาเลเซีย แต่การดัดแปลงมิเตอร์ การลักสายตรง หรือการหลบเลี่ยงระบบวัดไฟฟ้านั้นถือเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการจัดหาพลังงานไฟฟ้า ซึ่งกำลังกลายเป็นช่องทางทำเงินสำคัญของเครือข่ายมิจฉาชีพที่แทรกซึมอยู่ในหลายรัฐทั่วประเทศ
ปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่ เผยขบวนการใต้ดินฝังรากลึก
รายงานจาก SCMP ระบุว่า TNB จัดตั้งฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อติดตามข้อมูลเจ้าของอาคารและผู้เช่าที่ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการลักไฟฟ้า ก่อให้เกิดระบบสอดส่องภายในที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถบุกตรวจและปิดจุดปฏิบัติการผิดกฎหมายได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดปฏิบัติการร่วมระหว่าง TNB คณะกรรมการพลังงาน ตำรวจกลาง ป.ป.ช. มาเลเซีย และองค์กรท้องถิ่น ทำให้สามารถยึดเครื่องขุดบิตคอยน์จำนวนมากจากสถานที่ต้องสงสัย ป้องกันผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบไฟฟ้าของประเทศ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจับกุม TNB ได้ติดตั้ง สมาร์ตมิเตอร์ ตามสถานีจ่ายไฟฟ้าทั่วประเทศ เพื่อมอนิเตอร์โหลดการใช้ไฟและตรวจจับความผิดปกติแบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกันยังเสนอใช้งาน AI และระบบวิเคราะห์คาดการณ์ (predictive analytics) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการใช้ไฟและจับพฤติกรรมที่เข้าข่ายลักไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ
คดีลักไฟฟ้าพุ่ง 300% คุกคามโครงสร้างพลังงาน
ข้อมูลจากรายงาน Cryptonews ในเดือนมิถุนายนระบุว่า เคสลักไฟฟ้าเพื่อขุดคริปโต พุ่งขึ้น 300% ระหว่างปี 2561 - 2567 โดยจำนวนเคสที่ถูกตรวจจับเพิ่มจาก 610 เป็น 2,397 ภายในระยะเวลา 6 ปี
เฉลี่ยแล้ว ระหว่างปี 2563 - 2567 มีการลักไฟฟ้าเกี่ยวกับการขุดคริปโตสูงถึง 2,303 เคสต่อปี ขณะที่ TNB ได้รับเรื่องร้องเรียนกว่า 1,699 เคส ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนว่าประชาชนเริ่มใส่ใจและกล้ารายงานการกระทำผิดมากขึ้น
ในเดือนมีนาคม พล.ต.อ. ดาโต๊ะ ซรี มอฮัด ชูไฮลี ผู้อำนวยการสืบสวนสอบสวนกลางระบุว่า TNB สูญเงินกว่า 520 ล้านริงกิต (121 ล้านดอลลาร์) จากการลักไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับแก๊งขุดบิตคอยน์ที่ปฏิบัติการในร้านค้า โกดัง หรือบ้านเช่าที่มีคนสัญจรน้อย พร้อมติดตั้งระบบระบายอากาศ กำแพงเก็บเสียง และอุปกรณ์อุตสาหกรรมเพื่อหลบเลี่ยงอำนาจรัฐ
โดยกลุ่มอาชญากรกลุ่มเหล่านี้มักจะต่อสายตรงเข้าระบบไฟฟ้าหลัก แอบดูดไฟฟ้าในปริมาณเทียบเท่าการใช้ไฟของคอนโดทั้งอาคาร ก่อนย้ายสถานที่ทุกไม่กี่เดือนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ
อุตสาหกรรมขุดคริปโตของมาเลเซียยังไปไม่สุดทาง เหตุขาดกรอบกำกับดูแลชัดเจน
แม้มาเลเซียจะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านกำลังประมวลผลบิทคอยน์ (hash rate) แต่การเติบโตกลับสะดุดลง เพราะยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบกำกับดูแลกระบวนการขุดคริปโตอย่างเป็นทางการ
ACCESS Blockchain Association ประเมินว่า หากประเทศเร่งวางมาตรฐานที่ชัดเจน อุตสาหกรรมนี้สามารถดึงดูดเงินลงทุนด้านอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานได้มากถึง 700 ล้านริงกิตในปีนี้ สร้างงานกว่า 4,000 ตำแหน่ง และสร้างรายได้ภาษีปีละ 150 ล้านริงกิต
แต่ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการถูกทิ้งไว้ในภาวะไม่แน่นอน ทั้งเรื่องโครงสร้างราคาไฟฟ้า ใบอนุญาตการดำเนินงาน และเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล (Securities Commission) ดูแลเฉพาะการซื้อขาย ไม่ครอบคลุมกระบวนการขุด ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องทำงานอย่างเงียบ ๆ เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยและเสถียรภาพด้านกฎหมาย
ACCESS เสนอให้รัฐจัดทำ ใบอนุญาตขุดคริปโตเฉพาะทางปรับแก้กฎหมายความรับผิดชอบของเจ้าของอาคาร รวมถึงนำโมเดลกำหนดราคาพลังงานตามมาตรฐานความยั่งยืน พร้อมผลักดันโมเดล การขุดคริปโตที่เป็นไปตามหลักชะรีอะห์ เพื่อใช้จุดแข็งด้านการเงินอิสลามของมาเลเซียในการสร้างอุตสาหกรรมที่โปร่งใส ยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค