ดร. ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทโรงพยาบาลรามคำแหง และบริษัทในเครือ บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน)
● RAM ขยายเครือข่ายโรงพยาบาล และเน้นสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนพร้อมสานต่อจุดยืนของผู้ก่อตั้ง คือ "ดูแลทุกคนให้มีสุขภาพดีและเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีมาตรฐาน”
● การลงทุนมูลค่า 3,700 ล้านบาท เพื่อถือหุ้นในเครือ THG 49.99% เป็นการเดินกลยุทธ์เพื่อต่อยอดจุดแข็งสำคัญ – สร้างเครือข่ายทีมแพทย์ และขยายจำนวนเตียงเเตะ 7,800 เตียง (อันดับ 2 ของประเทศ)
● การให้บริการครอบคลุมผู้ป่วยครบทุกระดับชั้น โลเคชั่นที่หลากหลาย และการแป่งปันทรัพยากรในเครือ ทำให้ RAM ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงในทุกสภาวะทางเศรษฐกิจ
1. ในฐานะ CEO หญิงคนใหม่ของ RAM ดร. ฤกขจีมีพันธกิจและวิสัยทัศน์อย่างไรในการขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า ก่อนอื่นขอพูดถึงผู้บริหารรุ่นแรกก่อนนะคะ โรงพยาบาลรามคำแหงคือจิตวิญญาณของกลุ่มหมอรุ่นแรก ที่ออกมาตั้งโรงพยาบาลเพื่อดูแลคนไข้ที่ตัวเองรัก ดังนั้น เราคงไม่สามารถทิ้งจุดยืนที่สำคัญที่สุดไปได้ นั่นคือ การทำให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ว่าจะป่วย หรือยังไม่ป่วย ไม่ว่าจะมีฐานะทางสังคมแบบใด ต้องสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้
สำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ โจทย์ของเราคือการสารต่อจุดยืนนี้ให้เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน จุดโฟกัสก็คือฝั่ง Business อาทิ การขยายกิจการ การจับมือกับโรงพยาบาลหลายๆ โรง เพื่อสร้างเครือของเราให้ยิ่งใหญ่และมีอำนาจต่อรอง ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และนักวิเคราะห์ ให้เห็นภาพว่าเราทำอะไรบ้าง
ด้านการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา เราได้ลงทุนเพิ่มกับเครือโรงพยาบาลธนบุรี (THG) ซึ่งจะทำให้เราสามารถดูแลคนไข้ได้คลอบคลุมทั่วประเทศ จากเดิมที่โรงพยาบาลรามคำแหงจะเน้นลูกค้าในกรุเทพฯชั้นใน และกรุงเทพฯตะวันออก เมื่อเราไปลงทุนในเครือ THG เราก็ขยายการดูแลไปฝั่งตะวันออก และตะวันตก
ด้าน ESG เรามีการจัด “รามฯ Hero Run” อย่างต่อเนื่องมาตลอด 2 ปี และปลายปีนี้ก็จะเป็นปีที่ 3 กิจกรรมนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของเราที่ต้องการดูแลสุขภาพของทุกคน ไม่ต้องรอให้คุณเจ็บป่วยก่อน แล้วค่อยมาหาหมอ
2. ผลการดำเนินงานของ RAM ใน 3 ไตรมาสเเรก และแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของปี 2568 เชื่อว่าปีนี้คงเป็นปีที่ค่อนข้างยากสำหรับทุกคนนะคะ ถึงกระนั้นรายได้รวมครึ่งปีแรกของเราก็เป็นไปตามความคาดหมาย โดยเติบโตอยู่ที่ประมาณ 7% ถือว่าเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง สอดคลองกับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน สำหรับครึ่งปีหลัง รายได้เฉพาะของเราแบบออร์แกนิคก็ถูกคาดการณ์ว่าจะโตระดับ 5-7% เป็นมาตรฐานเช่นกันค่ะ เนื่องจากเครือโรงพยาบาลเราเปิดมานาน เราโตอย่างมั่นคง ไม่หวือหวามากเหมือนองค์กรที่เปิดใหม่ แต่ถ้าหากเจาะไปที่ตัวโรงพยาบาลเลย ก็จะเห็นว่าโรงพยาบาลรามคำแหง 2 ค่อนข้างมีรายได้แบบก้าวกระโดด เนื่องจากเขาเพิ่งเปิดใหม่ค่ะ อย่างไรก็ตาม ความพิเศษของปีนี้ คือเราจะได้เห็นรายได้รวมของทั้งเครือที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากเราเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม THG ซึ่งจะมีผลให้รายได้รวมของ เครือ THG ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ถูกนำมารวมกับรายได้ของเราด้วย จึงคาดว่าจะโตขึ้นถึงระดับ 30-40% ค่ะ
3. เป็นที่ชัดเจนว่าปี 2568 ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว RAM มองเห็นผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร และมีแผนปรับตัวอย่างไรสำหรับปีหน้า ต้องยอมรับว่าเมื่อเศรษกิจชะลอตัว คนก็ไม่อยากใช้จ่าย การเจ็บป่วยบางอย่างที่ยังไม่หนักมาก หลายคนก็เลือกซื้อยามารับประทานเอง แทนที่จะมาโรงพยาบาล แต่อย่าลืมว่า โรงพยาบาลรามคำแหงดูแลผู้ป่วยคลอบคลุมครบทุกชนชั้น ตั้งแต่ผู้ป่วยสิทธิ 30 บาท ผู้ป่วยสิทธิประกันสังคม ผู้ป่วยประกันสุขภาพส่วนบุคคล ทั้งระดับกลาง ไปจนถึงระดับที่สามารถใช้จ่ายได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้เรายังรักษาครบทุกโรค ตั้งแต่โรคทั่วไปถึงโรครักษายาก จึงพูดได้ว่า เราอาจจะไม่ได้สัมผัสผลกระทบที่รุนแรงนักจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ที่สำคัญโรงพยาบาลรามคำแหงเป็น Center of Excellence ดังนั้น คนไข้หลักของเราที่ต้องการการรักษาแบบซับซ้อน เช่น คนไข้โรคหัวใจ ก็ยังต้องมาหาหมอ สำหรับประเด็นการลดลงของชาวต่างชาติก็ไม่ได้มีผลมากค่ะ เนื่องจากไม่ใช่กลุ่มตลาดที่เราโฟกัส แล้วประกอบกับโรงพยาบาลรามคำแหงเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ค่อนข้างจะขึ้นชื่อว่าเข้าถึงง่าย ทั้งจำนวนโลเคชั่น และค่ารักษาพยาบาลหลายระดับ หากคนไข้ต้องการลดค่าใช้จ่าย เช่น จากเดิมอยู่กลุ่มพรีเมี่ยม ต้องการเปลี่ยนมากลุ่มประกันสังคม เราก็มีทางเลือกนี้อยู่ อย่างตอนช่วงโควิด เห็นได้ชัดเลยว่าการที่เรามีทางเลือกหลากหลาย ณ วันนั้นคนไข้ไม่มาโรงพยาบาลเอกชนเลย เราก็ยังมีรายได้จากโรงพยาบาลประกันสังคม เนื่องจากรัฐบาลช่วยอุดหนุน จุดนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงขององค์กรเรานะคะ
4. “การที่ RAM ทุ่มงบ 3.7 พันล้านบาท เพื่อเข้าถือหุ้น THG เกือบ 49.99%” สะท้อนกลยุทธ์การขยายธุรกิจอย่างไร และความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมจุดแข็งหรือสร้างโอกาสใหม่ให้ RAM ในอนาคตอย่างไร เชื่อว่านักลงทุนคงพอทราบอยู่แล้วว่า ธุรกิจโรงพยาบาลจะยั่งยืนอยู่ได้ หากเราเติบโตไปด้วยกันเป็นกลุ่ม โรงพยาบาลแบบ stand alone อาจจะแข่งขันยากขึ้นด้วยภาวะการปัจจุบัน ทั้งนี้ จากที่เกริ่นไปก่อนหน้า กับฝั่งเครือโรงพยาบาลธนบุรี เราก็เคยลงทุนไปแล้วจำนวนหนึ่งเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น เหตุเพราะเรามองเห็นศักยภาพของเครือ THG ที่โดดเด่น ทั้งทำเล ทั้ง Network ของทีมแพทย์ และฐานลูกค้าในฝั่งที่เครือรามฯ ยังเข้าไม่ถึง อีกทั้ง เรายังเน้นกลุ่มลูกค้าตลาดใกล้เคียงกัน มีเทคโนโลยี ความสามารถ อะไรต่างๆ ก็ถือว่าเสริมกันได้ดี ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราเข้าไปลงทุนในช่วงแรกค่ะ
สำหรับการลงทุนรอบล่าสุด ขอเกริ่นก่อนว่ากลยุทธ์หลักของโรงพยาบาลรามคำแหงสมัยก่อนจะค่อนข้างกระจายการลงทุน โดยไม่ได้โฟกัสเฉพาะเรื่อง consolidate ว่าจะต้องเป็นการลงทุนในบริษทย่อย เราจึงมีบริษัทร่วมเยอะมาก โดยที่เครือ THG ก็เป็นหนึ่งในนั้นนะคะ แต่ในช่วงหลังเราเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ โดยโฟกัสในบริษัทร่วมตัวที่น่าสนใจจริงๆ เราก็อยากลงทุนเพิ่มให้เป็นบริษัทย่อยของเราค่ะ เมื่อเครือ THG มาเป็นบริษัทย่อย ก็นำมาซึ่งจุดแข็งสำคัญหลายด้าน ประการแรก รายได้รวมของเครือรามฯ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด 30-40% ประการที่สอง จำวนวนเตียงผู้ป่วยของทั้งเครือเพิ่มขึ้นมามากเป็นอันดับสองของประเทศ คือ 7,800 เตียง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนศักยภาพการดูแลคนไข้ของเราเป็นอย่างดี ประการที่สาม การแบ่งปันทรัพยากรสำคัญได้อย่างคร่องตัว เช่น องค์ความรู้ทางการแพทย์ และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประการที่สี่ ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของเราต่อซัพพลายเออร์ เช่น ผู้ค้าอุปกรณ์การแพทย์ และยารักษาโรค ประการที่ห้า เราสามารถสร้าง Referral Program ได้สะดวกรวดเร็วขึ้น เนื่องจากเราแชร์ข้อมูลผู้ป่วยร่วมกัน หากมีคนไข้ที่จำเป็นต้องถูกส่งตัวมารักษาโรคเฉพาะทาง เราก็สามารถปฏิบัติงานได้ทันท่วงที คือ เราต้องยอมรับว่าคงไม่สามารถทำให้โรงพยาบาลทุกแห่งในเครือมีศักยภาพสูงเทียบเท่ากันได้หมด ด้วยขีดจำกัดด้านต่างๆ การที่เราสามารถแบ่งปันทรัพยากรกันได้คร่องตัวจึงช่วยทำให้การดูแลรักษาคนไข้มีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
5. การเข้ามาของ AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ RAM มีแนวทางในการประยุกต์ใช้หรือตอบรับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร เรามีการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกษ์ใช้หลายด้านค่ะ เช่น การช่วยวิเคราะห์ผล XRay กล่าวคือ เป็น Second Opinion ให้คุณหมอทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ยังเตรียมนำ AI มาช่วยในระบบจ่ายยา ซึ่งเดิมทีเรามีหุ่นยนต์จ่ายยาอยู่แล้วนะคะ แต่ล่าสุดเราเพิ่งเซ็น MOU กับบริษัท Hire เพื่อเตรียมวางระบบจ่ายยาใหม่ โดยใช้ AI มาช่วย ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
6. ในมุมมองส่วนตัว ดร. ฤกขจีคิดว่าจุดแข็งของ RAM เมื่อเทียบกับคู่แข่งคืออะไร และจะต่อยอดจุดแข็งนั้นอย่างไรในอนาคต? อันดับแรก เครือรามฯ มี Network ของแพทย์ที่แข็งแกร่ง คุณหมอเราเก่งค่ะ และเราไม่ได้เข้าไปควบคุมกิจการในลักษณะที่เป็นบริษัทย่อย แต่เราแบ่งปันทรัพยากรกัน และจุดแข็งของกันและกัน ประการที่สอง เรามีฝั่งโรงพยาบาลประกันสังคม และพร้อมปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับของภาครัฐ ประการที่สาม ค่ารักษาพยาบาลในส่วนของคนไข้แบบจ่ายเงินเองและประกันส่วนบุคคล ค่อนข้างเข้าถึงได้ ไม่ Over Charge เมื่อเทียบกับคุณภาพบริการที่เรามอบให้พวกเขา ประการที่สี่ การรวมกับเครือธนบุรีฯ ยิ่งทำให้ความเป็น Center of Excellence ของเราชัดขึ้น อย่างของรามฯ ก็จะโดดเด่นเรื่องโรคหัวใจ ในขณะที่ฝั่งธนบุรีฯ จะโดดเด่นด้าน Orthopedic การใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด เป็นต้น ประการสุดท้าย คือเรื่องการควบคุมต้นทุน เมื่อแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน ตลอดจนสามารถส่งต่อคนไข้ได้คร่องตัว ย่อมช่วยเราลดต้นทุนและย่นเวลาในการทำงานได้มากขึ้น อันนี้ก็จะเป็นจุดแข็งที่เราต่อยอดได้เรื่อยๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจ
เราอยากให้ประชาชนทุกคน มารับการรักษาและใช้บริการต่างๆ ที่โรงพยาบาลในเครือของเราอย่างสบายใจ และขอจงวางใจให้พวกเราได้ดูแลคุณอย่างเต็มความสามารถ ตามปณิธานของกลุ่มผู้ก่อตั้งนะคะ