ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานคณะกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงานสัมมนาสาธารณะประจำปี 2568 ในหัวข้อ “Reimagining Thailand's Development Model: ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ"
ขอเริ่มงานสัมมนาประจำปีนี้ ด้วยการยกคำพูดของบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ 2 ท่าน ท่านแรก ดร เอกนิติ นิติทันฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่า "เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญภาวะ ติดหล่ม หรืออาจดิ่งเหว" และท่านที่สอง คุณดนุชา พิชยนันท์ (อดีต และว่าที่)เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในการประชุมประจำปี ของสภาพัฒน์ฯ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า "ในความเป็นจริง ความก้าวหน้าของการพัฒนา หยุดชะงักมานานแล้ว"
ปกติเราไม่ค่อยได้ยิน ผู้บริหารระดับสูงที่กำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ยอมรับความจริงแบบตรงไปตรงมาเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหา ที่ถูกปล่อยปละละเลยมานาน จนส่งผลให้เศรษฐกิจไทย ชะงักงัน ติดหล่ม หรือ กำลังจะดิ่งเหว
สำหรับท่านที่ติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยมาโดยต่อเนื่อง ก็คงไม่ประหลาดใจกับคำพูดของท่านรองนายก และท่านเลขา สภาพัฒน์ เพราะถ้าดูตัวชี้วัดพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยแทบทุกด้าน จะบ่งชี้ไปในทิศเดียวกันว่า พัฒนาการของเศรษฐกิจไทยด้อยลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่เทียบ ในบางเรื่อง คะแนนดิบของตัวชี้วัดของเราถดถอยลงเองโดยไม่ต้องเทียบกับใคร
ตัวชี้วัดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยติดหล่ม และชะงักงัน ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศ คุณภาพการศึกษา ผลิตภาพของภาคเกษตร ประสิทธิภาพของระบบราชการ ฐานะการคลัง หนี้ครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำ การใช้อำนาจเหนือตลาดของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กฎหมายที่ล้าสมัย ตลอดจนสถานการณ์คอรัปชั่น ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีสีเทามากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้ามองไปในอนาคต เศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงขึ้นอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากปัญหา geo-politics มาตรการกีดกันทางการค้า สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ การขาดแคลนแรงงาน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด AI transformation ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ หรือสภาวะโลกรวน ยิ่งถ้าเรา ติดหล่ม หรือชะงักงัน นานขึ้นเท่าไหร่ เราจะมีโอกาสดิ่งเหวเร็วขึ้น ลึกขึ้น และจะขึ้นจากเหวได้ยากขึ้นด้วย ทรัพยากรที่เรามีเหลือก็จะร่อยหรอลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับการลงทุนที่จำเป็นต้องใช้เพื่อก้าวขึ้นจากเหว
ในเวลาที่โลกกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ปัจจัยฉุดรั้งและปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย จะประสานพลังกันในลักษณะวงจรอุบาทว์ ส่งผลกระทบซึ่งกันและกันเป็นลูกโซ่ ฉุดให้สถานการณ์ของเศรษฐกิจไทย ไหลลงได้เร็ว ทั้งโดยเปรียบเทียบกับประเทศอื่น และเทียบกับตัวเอง
คนรุ่นผมมักจะถามกันว่า ถ้าถอยหลังกลับไปเมื่อสิบหรือสิบห้าปีที่แล้ว เราจะคิดกันไหมว่าเศรษฐกิจไทยจะพัฒนามาจนตกอยู่ในสภาวะแบบวันนี้ เราปล่อยให้เศรษฐกิจไทยก้าวมาสู่จุดนี้ได้อย่างไร คงมีหลายสาเหตุที่ทำให้พัฒนาการของเศรษฐกิจไทยในวันนี้ อยู่ในสภาวะติดหล่ม หรือชะงักงัน ไม่ว่าจะเป็นสังคมโดยรวมขาดการตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของปัญหาที่สะสมมาต่อเนื่อง และไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนอกประเทศ การเมืองที่สนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง มากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ การมุ่งทำแต่นโยบาย quick win ระยะสั้น ขาดความมุ่งมั่นทางการเมือง (political will) ที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง
ธุรกิจขนาดใหญ่ ใช้อำนาจเหนือตลาด ในขณะที่การกำกับดูแลให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมไม่เกิดขึ้นจริง ไม่ให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักคิดนำทาง (guiding principles) ที่จะช่วยกำหนดทิศทางของนโยบายสาธารณะ และการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลได้จริง โดยไม่ถูกบิดเบือน หรือเบี่ยงเบนระหว่างทาง ขาดกลไกที่ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูป หรือ transformation ได้อย่างแท้จริง ขาดกลไกที่ส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆ สามารถ ทำงานร่วมกันแบบประสานพลัง มีเป้าหมายร่วมกัน มากกว่าที่จะแยกกันคิด และแยกกันทำ
ขาดระบบแรงจูงใจที่เหมาะสมกับโลกใหม่ในอนาคต ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของธุรกิจและคนในสังคม ปัญหาคอรัปชั่น ที่ถูกปล่อยปละละเลย จากเดิมที่เป็นการให้ผลตอบแทนเพื่ออำนวยความสะดวก หรือสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน มาเป็นสิ่งที่เรียกว่าการยึดรัฐ (State Capture) ใช้กลไกภาครัฐกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคพวกของตนเอง ตลอดจน หน่วยงานภาครัฐเลือกที่จะอยู่ใน comfort zone หลีกเลี่ยงความเสี่ยง ไม่เปิดใจ รับแนวคิดใหม่ๆ ที่จะทำให้เกิดการปฏิรูป หรือ transformation และมักจะมีวิธีการทำงานที่เน้นกระบวนการ พิธีกรรมมากกว่าเอาสารัตถะและเป้ายหมายของงานที่ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
ในปีนี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เลือกหัวข้อ "ก้าวข้ามโลกเก่าด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ" เป็น หัวข้อของงานสัมมนาประจำปี เพื่อต้องการสร้างการตระหนักรู้ และตระหนกรู้ถึงภาวะติดหล่มของเศรษฐกิจไทย และ ความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นในโลก ถ้าเศรษฐกิจไทยจะออกจากภาวะติดหล่ม เราต้องออกแบบโมเดลใหม่ของการพัฒนา ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยนโยบายอุตสาหกรรมใหม่ นโยบายการค้าและการลงทุนใหม่ นโยบายด้านนวัตกรรมและการพัฒนาทักษะของคนไทยที่ จะต้องเกิดผลลัพธ์ได้จริง และที่สำคัญ เราต้องการบทบาทของภาครัฐใหม่ ที่จะไม่ฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยชะงักงัน แต่ส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าได้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
ด้วยปัญหาที่สะสมมานาน และความท้าทายหลากหลายด้านที่กำลังรอเราอยู่ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องคิดเรื่องใหญ่ ให้ความสำคัญกับโมเดลใหม่ ที่จะเปลี่ยนโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย โมเดลการพัฒนาต้อง ได้รับการออกแบบใหม่ ไม่สามารถทำเพียงแค่ต่อยอดจากโมเดลเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย
ต้องมองให้ไกล ถึงความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต และผลที่ต้องการให้เกิดขึ้นในระยะยาว ต้องใส่เลนส์ใหม่ มองหาวิธีการใหม่ๆ แนวทางใหม่ๆ ของการพัฒนา มุ่งหานวัตกรรมและเครื่องมือใหม่ และระบบ แรงจูงใจใหม่ ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลได้จริง และต้องทำให้จริง โดยต้องสร้าง political will ให้เกิดขึ้นให้ได้ ต้องรวมพลังกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เท่าทันกับความรุนแรงของปัญหาที่สะสมมานาน และความท้าทายใหม่ๆ ที่ซับซ้อน มากขึ้น
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันตลอดทั้งวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งเวทีที่จะช่วยจุดประกาย ให้เกิดการถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ บนข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อกำหนดหลักคิดนำทางให้เศรษฐกิจไทย ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าเราร่วมกัน "คิดเรื่องใหญ่ มองให้ไกล ใส่เลนส์ใหม่ และทำให้จริง" เราจะสามารถฉุดเศรษฐกิจไทยให้หลุดออกจาก สภาวะติดหล่ม และชะงักงัน และลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะดิ่งเหวในอนาคตได้ ./