CAAT เอ็มโอยู 8 สายการบิน และร่วมมือกับ ภาครัฐ ภาคธุรกิจเดินหน้า การใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) เริ่มแยกต้นทุนรายการค่าธรรมเนียมคาร์บอน เส้นทางบินระหว่างประเทศตามความสมัครใจของสายการบิน ปี 2569 หนุนเป้าหมาย Net-Zero carbon 2050
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. พร้อมด้วยนายศรัณย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาเศรษฐกิจการบิน และผู้บริหารระดับสูงของ 8 สายการบินของไทย ได้แก่ สายการบินไทย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส สายการบินเค-ไมล์ แอร์ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ และสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF)
สำหรับ บันทึกข้อตกลงนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการบินของประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับโลก และบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของภาคการบินของไทยที่จะสนับสนุนมาตรการสำคัญขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้แก่ มาตรการลดและชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคการบินระหว่างประเทศ (CORSIA) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการนำร่อง เมื่อปี พ.ศ.2564
นอกจากนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมการบินของไทยปรับตัวสู่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยังได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าวอีกด้วย
ความร่วมมือครั้งนี้เกิดจากการทำงานอย่างเข้มแข็งของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรการและการสนับสนุนการใช้ SAF ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก CAAT ผู้แทน 8 สายการบิน และ สนข. ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ เห็นร่วมกันว่า การส่งเสริมการใช้ SAF ถือเป็นหัวใจหลักในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในภาคการบิน ภายใต้กลไก CORSIA ที่กำหนดให้การใช้ SAF ที่เป็นไปตามมาตรฐานจะถูกนำมาคำนวณเพื่อหักลบกับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้องทำการชดเชย โดยความร่วมมือนี้จะช่วยสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายปณิธานระยะยาวในการลดคาร์บอน (Long Term Global Aspirational Goal: LTAG) เพื่อให้การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050
อย่างไรก็ดี CAAT ตระหนักถึงความท้าทายด้านต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ SAF ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการดำเนินงานของสายการบิน ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบทางการเงินจากการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม จึงมีการพิจารณาแนวทางการแยกต้นทุนรายการค่าธรรมเนียมคาร์บอน (Carbon Surcharge) ในเส้นทางบินระหว่างประเทศตามความสมัครใจของสายการบิน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ปี 2569 ทั้งนี้การแสดงรายการค่าธรรมเนียมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นต้นทุนที่เกิดจากการลดและชดเชยการการปล่อยคาร์บอนของภาคการบินของไทย โดย CAAT จะดำเนินการตรวจสอบความโปร่งใสและให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปตามข้อกำหนดสากล
พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในวันนี้เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินของไทยสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้ว่าประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นอุตสาหกรรมการบินสีเขียว (Green Aviation) ผ่านการสร้างความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืนในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานเชื้อเพลิงอากาศยานของประเทศ
ซึ่งการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนตามมาตรฐานสากล แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในระบบนิเวศการบินยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น CAAT จะเดินหน้าทำงานร่วมกับสายการบิน หน่วยงานรัฐ และภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน Green Aviation ในภูมิภาค