รัฐบาลปรับเป้าลดก๊าซเรือนกระจก เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนเร็วขึ้น 15 ปี เตรียมนำเสนอ NDC 3.0 บนเวที COP30 ที่บราซิล คาดเป็นจุดเปลี่ยนเร่งภาคอุตสาหกรรมไทยก้าวไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเร็วขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการออกกฎหมาย+แผน 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด และแผน PDP 2025
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นกรอบเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2574-2578) เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และได้ส่งเอกสารดังกล่าวให้ UNFCCC ในวันเดียวกัน
NDC 3.0 ดังกล่าว รัฐบาลได้ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยในการร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับนานาประเทศ โดยกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็นการลดลง 47% จากระดับปีฐาน 2562 ซึ่งถือเป็นการยกระดับเป้าหมายจาก NDC ฉบับก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และจะนำเสนอบนเวทีประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP 30) ในระหว่างวันที่ 10 - 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล
•เป้าหมายหลักของ NDC 3.0 ฉบับใหม่
ประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนาที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ ได้เตรียมความพร้อมและแสดงความมุ่งมั่นในหลายด้าน เพื่อให้สอดคล้องกับวาระโลกใน COP 30 ดังนี้
-เป้าหมาย Net Zero: ประเทศไทยมีเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593)
-NDC 3.0 ฉบับปรับปรุง: ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 109.2 MtCO₂e กำหนดระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิไม่เกิน 152 MtCO₂e ภายในปี 2035 ให้สอดคล้องกับ 1.5 ∘C pathway
นอกจากนี้ประเด็นสำคัญที่ถูกยกขึ้นมาในการประชุม COP ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือ เป้าหมายการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก (Global Goal on Adaptation - GGA) ซึ่งได้รับการตกลงไว้ในความตกลงปารีส (Paris Agreement) แต่ยังขาดความชัดเจนด้านตัวชี้วัด (Indicators) และกลไกสนับสนุนที่วัดผลได้ การประชุม COP30 จึงเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนวาระ GGA ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่ใช่แค่การเจรจาทางการเมือง แต่เป็นเวทีชี้ชะตาที่สำคัญเป็นโอกาสของไทยในการแสดงจุดยืนผู้นำในภูมิภาคอาเซียนด้านการจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
สำหรับ NDC 3.0 มีเนื้อหาครอบคลุม 5 สาขาหลัก ได้แก่ พลังงานและคมนาคม อุตสาหกรรม เกษตร ของเสีย และป่าไม้-การใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยมีสัดส่วนการดำเนินงาน 70% ด้วยศักยภาพภายในประเทศ และอีก 30% ขอรับการสนับสนุนด้านเทคนิคและการเงินจากต่างประเทศ ทั้งนี้เป้าหมายดังกล่าวมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เร็วขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2608 ก็เพื่อให้ประเทศไทยมีส่วนร่วมจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
• ดันไทย ประเทศแถวหน้า ลดก๊าซเรือนกระจก
ทางรัฐบาลเชื่อมั่นว่า การเห็นชอบ NDC 3.0 จะช่วยยกระดับบทบาทของประเทศไทยในเวทีสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เสริมสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Economy) ตามแนวนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลข้อที่ 13 “สิ่งแวดล้อมยั่งยืน เศรษฐกิจสีเขียว” ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มพื้นที่สีเขียว และสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเติบโตควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน
ปัจจุบันการดำเนินการตาม NDC ล่าสุดของทุกประเทศยังไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อย่างเช่นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยปล่อยสูงเป็นอันดับที่ 20 ของโลก (ข้อมูลปี 2561) คิดเป็นประมาณ 0.82 % ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยทั่วโลก
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) กล่าวว่าวาระสำคัญในการนำเสนอเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ (NDC 3.0) ภายปี 2035 นับเป็นก้าวสำคัญที่จะแสดงความมุ่งมั่นของประเทศในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
“ที่ COP30 เราจะประกาศเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ปี 2035 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับข้อตัดสินใจของการประชุม COP และเป็นไปตามกรอบเวลาที่ทุกประเทศภายใต้อนุสัญญาฯ ต้องส่งเป้าหมายใหม่นี้ซึ่งจะเปลี่ยนทิศทางของประเทศไทยให้เข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ซึ่งเป็นการเร่งเป้าหมายให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2065"
อธิบดีกรมลดโลกร้อน ขอให้ผู้เเทนไทยติดตามการประชุมเเละรายงานความความก้าวหน้าการประชุมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เป็นวาระสำคัญของประเทศและประเด็นที่จะต้องหาข้อสรุปใน COP 30 อาทิ การจัดส่งเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดฉบับใหม่ (NDC 3.0) การจัดทำตัวชี้วัดด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามเป้าหมายระดับโลก แผนที่นำทางการขับเคลื่อนทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กองทุนเพื่อชดเชยความสูญเสียและความเสียหาย
• ตัวเร่งอุตสาหกรรมไทย ปรับตัวสู่ ศก.คาร์บอนต่ำ
ภาครัฐขยับเป้า NDC 3.0 เป็นการส่งสัญญาณว่า “การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของเศรษฐกิจไทยในโลกอนาคต” เนื่องจากประเทศและบริษัทต่างๆ ที่มีเป้า Net zero 2050 มีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการเฉพาะจากประเทศและบริษัทที่มีเป้าหมายเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
• ไทยเข้าสู่มาตรฐานสากล เช่นเดียวกับญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และเวียดนาม ที่ประกาศ Net Zero ปี 2050
• ไทยต้องเร่งลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้นเฉลี่ย ร้อยละ 10 ต่อปี
• ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวได้เท่าทันโลก
• เปลี่ยนผ่านประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
• อุตสาหกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงจะเผชิญมาตรการใหม่ ๆ ของภาครัฐ เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน และการบังคับใช้ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยคาร์บอน
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโต
• อุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด เช่น โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แผงโซลาร์เซลล์
• อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เช่น ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
• อุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของรถไฟฟ้า เช่น ผู้ผลิตรถอีวี แบตเตอรี่ สถานีชาร์จ
• อุตสาหกรรมจัดการของเสีย เช่น ธุรกิจรีไซเคิล อุรกิจจัดการขยะและน้ำเสีย
• อุตสาหกรรมวัสดุฐานชีวภาพ เช่น พลาสติกชีวภาพ
• อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ เช่น ไฮโดรเจน เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน
• อุตสาหกรรมเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน หรือ CCS
กลุ่มอุตสาหกรรมไทยที่ต้องเร่งปรับตัว
• น้ำมันและก๊าซ • โรงไฟฟ้าฟอสซิล • เหล็ก • ซีเมนต์ • เคมีภัณฑ์ • รถยนต์น้ำมัน
• สถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย เท่ากับ 40.52 MtCO2eq หรือร้อยละ 10.50 ของทั้งประเทศ
ไทยเตรียมการ 4 ด้าน สู่เวที COP 30
1.การลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation): ประเทศไทยมีแผนจะยื่นเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 2035) ของประเทศไทย ก่อนการประชุม COP 30 โดยได้ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงขึ้น พร้อมทั้งเร่งรัดการเดินหน้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065)
2.การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation): ประเทศไทยเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ตัวชี้วัดภายใต้เป้าหมายการปรับตัวระดับโลก (Global Goal on Adaptation)โดยได้เตรียมพัฒนาฐานข้อมูลความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและตัวชี้วัด พร้อมทั้งเดินหน้านำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan: NAP) ไปใช้ พร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีการปรับตัวในระดับประเทศ
3.ด้านการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate finance): ประเทศไทยกำลังจัดทำแผนเพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ ทั้งด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการทำงานผ่านแผนประเมินความต้องการทางการเงินและแผนการลงทุนสำหรับ NDC นอกจากนี้ ในระดับประเทศยังกำลังผลักดันการจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ และการนำมาตรฐานกลางของประเทศไทยที่ใช้เป็นแนวทางในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Thailand Taxonomy) ไปใช้เพื่อกำหนดแนวทางสำหรับการลงทุนที่ยั่งยืน
4.การปฏิบัติการเพี่อเสริมพลังด้านสภาพภูมิอากาศ (Action for Climate Empowerment: ACE):ประเทศไทยมุ่งเสริมสร้างการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง โดยเน้นให้ทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่เยาวชนไปจนถึงชุมชนท้องถิ่น มีบทบาทในการกำหนดและขับเคลื่อนแนวทางแก้ไขปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศได้