xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai Global Markets เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 32.40-โมเมนตัมการแข็งค่าอาจเริ่มมีกำลังมากขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(7พ.ย.68)ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.32-32.45 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ยังคงไม่ได้แรงหนุนจากภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ในตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดการเงินสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญแรงเทขายหุ้นเทคฯ อีกครั้ง

ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชนก็ออกมาน่าผิดหวังและแย่กว่าคาด อาทิ ยอดการเลิกจ้างงาน (Challenger Job Cuts) ในเดือนตุลาคม พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับ 153,074 ตำแหน่ง นับเป็นตัวเลขของเดือนตุลาคมที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยอดการจ้างงานโดย Revelio ซึ่งพยายามประเมินการจ้างงานให้ใกล้เคียงกับรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) จากทาง BLS (ที่ยังไม่มีการประกาศข้อมูลออกมา จนกว่าภาวะ US Government Shutdown จะสิ้นสุดลง) ก็ปรับตัว “ลดลง” 9,100 ราย ในเดือนตุลาคม (สวนทางกับ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่เพิ่มขึ้น 42,000 ราย) โดยภาพการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ดังกล่าว ได้ทำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินโอกาสราว 70% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ย ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม นี้ และโอกาสราว 68% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า และการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้ เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการที่ผู้เล่นในตลาดเลือกถือสกุลเงินอื่น อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแทน และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้ เงินบาทชะลอการอ่อนค่าลงและเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะในส่วนของรายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว (Inflation Expectations) ซึ่งจะออกมาในช่วงตลาดรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะ 1 ปี ข้างหน้า โดยเฟดสาขานิวยอร์ก ด้วยเช่นกัน

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของจีน ในเดือนตุลาคม เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทเริ่มมีโอกาสทยอยแข็งค่ามากขึ้นได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มมีกำลังมากขึ้น หลังมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เริ่มเปลี่ยนไปจากช่วงก่อนหน้า จากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ล่าสุด (ซึ่งยังคงไม่ใช่ข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ) สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงมากขึ้น กดดันให้ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง ซึ่งหากผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้น ว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อได้ไม่ยาก ก็อาจยิ่งกดดันเงินดอลลาร์เพิ่มเติม ผ่านการปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ หลังช่วงก่อนหน้าที่เงินดอลลาร์ได้ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จนดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) มีจังหวะปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 100 จุด นั้น ผู้เล่นในตลาดได้มีสถานะ Net Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น) จากที่มีสถานะ Net Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) มาโดยตลอด

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way Risk สามารถผันผวนได้ทั้งสองทิศทาง ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด บรรยากาศในตลาดการเงิน รวมถึงการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ที่ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ศาลฯ อาจมีแนวโน้มเพิกถอนมาตรการภาษีนำเข้าจากกฎหมาย IEEPA ซึ่งทำให้ความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งและกดดันเงินดอลลาร์

นอกจากนี้ เรามองว่า ราคาทองคำก็ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน ทำให้ในบางจังหวะที่ราคาทองคำย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับก่อนหน้า ก็อาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำเข้ามาบ้าง กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง อีกทั้งในช่วงนี้ เราพบว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดทั้งฝั่งผู้นำเข้า หรือผู้เล่นในตลาดพลังงาน ต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ รวมถึงซื้อน้ำมันดิบ ในช่วงตลาดย่อตัวลง ทำให้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด และอาจติดโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้ ขณะที่หากเงินบาท ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ไม่ว่าจะมาจากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หรือการปรับตัวลงอีกครั้งของราคาทองคำ เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ดูจะถูกจำกัดไว้แถวโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวต้านถัดไปในช่วง 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ตามการรอทยอยขายเงินดอลลาร์ของฝั่งผู้ส่งออก และการปรับสถานะถือครอง อย่างสถานะ Long USDTHB หรือ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
กำลังโหลดความคิดเห็น