เดิมทีชาวบ้านในจังหวัดอ่างทองมีอาชีพหลักคือทำนา เมื่อถึงช่วงว่างจากทำนาก็มาทำจักสานเป็นสินค้าต่างๆ และรวมกลุ่มขึ้นเป็นวิสาหกิจชุมชน สร้างสรรค์สินค้าที่ทำจากหวายและไม้ไผ่ที่ปลูกเองในชุมชน สู่สินค้าคุณภาพสวยงามจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออมทรัพย์เพื่อการผลิตจักสานบ้านตลาดใหม่ จากเดิมเป็นรายได้เสริมสู่รายได้หลักในที่สุดเพราะสร้างรายได้กว่า 7 หมื่นบาทต่อเดือน ลูกค้าทั้งไทยและเทศให้ความสนใจ ยกระดับสินค้าวางขายในสนามบินและห้างสรรพสินค้า
ฐิติพัชร์ รวยทรัพย์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออมทรัพย์เพื่อการผลิตจักสานบ้านตลาดใหม่ จังหวัดอ่างทอง เล่าว่า เดิมทีจังหวัดอ่างทองเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาเป็นหลัก เมื่อว่างจากฤดูทำนาก็ทำจักสานเพื่อเป็นเครื่องใช้สอยในชีวิตประจำวัน เช่น กระบุง กระจาด กระด้ง ตะแกลง ชะลอม เป็นต้น ต่อมาก็ได้รวมกลุ่มกันขึ้นในชื่อ กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตจักสานบ้านตลาดใหม่ มีสมาชิกแรกเริ่ม 10 คน ปัจจุบันมีทั้งหมด 20 คน
ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มจะประกอบไปด้วย จักสานหวายและไม้ไผ่หลายรูปแบบ เช่น ตะกร้าหูหิ้ว กระเป๋าถือสตรี โคมไฟ ของขวัญ ของฝากและของที่ระลึก ปัจจุบันดำเนินธุรกิจมากว่า 30 ปี ทั้งนี้วัตถุดิบหลักอย่างหวายและไม้ไผ่ชาวบ้านจะปลูกเองในชุมชน ซึ่งในบางช่วงหวายจะขาดแคลนในช่วงฤดูฝน ทางกลุ่มก็จะผลิตสินค้าที่ทำจากไม้ไผ่ทดแทน
แนวคิดในการทำจักสานคือต้องการสืบทอดภูมิปัญญาจากรุ่นปู่ย่าตายายให้ส่งต่อไปยังรุ่นลูกหลาน ในช่วงแรกทำออกมาเพื่อใช้เอง แต่พอสินค้าเหลือก็นำออกไปขายที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรและได้ผลตอบรับที่ดีกลับมา ปัจจุบันเริ่มมีวางขายที่สยามพารากอน สนามบินสุวรรณภูมิและภูเก็ต รวมถึงออกงานแสดงสินค้า OTOP ต่างๆ ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่สนใจงานจักสานจะมีทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่สัดส่วนจะเป็นคนไทยเป็นหลัก โดยลูกค้าที่สนใจจะเป็นกลุ่มข้าราชการ ทั้งนี้สินค้าของทางกลุ่มจะมีราคาเริ่มต้นที่ 850 ถึงหลักหมื่น
ในการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนขึ้นมานั้นสามารถกระจายรายได้ให้สมาชิกได้สัปดาห์ละ 3,000-7,000 บาทต่อคน คิดเป็นรายเดือนจะอยู่ที่ 30,000-70,000 บาท ซึ่งเดิมทีก่อนมีโควิด-19 ยอดขายสามารถแตะถึงหลักแสน แต่พอได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยอดขายลดลงครึ่งต่อครึ่ง นอกจากนี้สินค้าแต่ละชิ้นเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลาในการผลิต 1 สัปดาห์ต่อ 1 ชิ้น ซึ่งในปัจจุบันทางกลุ่มได้มีการเพิ่ม “กี่ทอผ้า” มาปรับใช้ทอหวายเพื่อทุ่นแรงการสาน และสามารถลดเวลาในการสานสินค้า 1 ชิ้นให้อยู่ที่ 3-5 วัน ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตถูกลง ใน 1 เดือนจะสามารถผลิตสินค้าได้ประมาณ 50 ชิ้น
ในส่วนของลวดลายต่างๆ นั้นทางกลุ่มจะเขียนแบบและวาดลวดลายเอง โดยเพิ่มเอกลักษณ์ความเป็นจังหวัดอ่างทองเข้าไปในชิ้นงานนั้นๆ ด้วยเพื่อแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์และเอกลักษณ์พื้นบ้านของชุมชนในจังหวัดอ่างทอง อย่างเช่น ลายดอกมะพลับ รวมถึงลวดลายต่างๆ ที่สวยงาม สำหรับลวดลายที่ทำยากที่สุดจะเป็นลายม้า นกแก้ว และลายที่มีรายละเอียดเยอะ นอกจากนี้ยังสร้างเครือข่ายในจังหวัดอื่นอย่าง พิษณุโลก อีกด้วย
ทั้งนี้สินค้าที่ขายดีที่สุดจะเป็น กระเป๋าถือสตรีทรงรี มีราคาอยู่ที่ใบละ 2,500 บาท ปัจจุบันขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเพจ Facebook เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่งออกไปต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น โดยผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งส่งออกในครั้งแรกประมาณ 20 ชิ้น คิดเป็นราคาอยู่ที่ 20,000 บาท ซึ่งลูกค้าจากญี่ปุ่นรู้จักผ่านศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศและได้พูดคุยเจรจาเพื่อซื้อขายสินค้า หลังจากนั้นก็เข้ามาดูสินค้าจริงและเกิดถูกใจทำให้สั่งซื้อสินค้าไปในราคาดังกล่าวข้างต้น พร้อมกับนำสินค้าของกลุ่มไปวางขายในห้างสรรพสินค้าในประเทศญี่ปุ่น
“ทีแรกการทำจักสานของเราเป็นรายได้เสริม แต่ในตอนนี้กลายเป็นรายได้หลักไปแล้วเพราะว่าทำนากำไรน้อยมากแล้วก็เหนื่อย พอมาทำจักสานขึ้นรูปขายก็ทำให้มีรายได้เพิ่ม ทำให้กลายเป็นรายได้หลักของแต่ละครอบครัวไปแล้ว โดยสมาชิกในกลุ่มมีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปจนถึง 80 ปี” คุณฐิติพัชร์ ระบุ
ในการทำจักสานและรวมกลุ่มขึ้นมานั้นมีจุดประสงค์เพื่อสืบสานภูมิปัญญาชาวบ้านดั้งเดิมเอาไว้ส่งต่อให้แก่รุ่นลูกหลาน ซึ่งคุณฐิติพัชร์นั้นนอกจากบทบาทประธานกลุ่มแล้วยังเป็นวิทยากรเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ไปให้กับเยาวชนและคนที่สนใจในงานจักสานทั้งในชุมชนและนอกชุมชน เพื่อให้เกิดการสร้างอาชีพ ต่อยอดเพื่อให้เกิดรายได้และพึ่งพาตัวเองได้ในอนาคต
สำหรับกำลังการผลิตนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการทำมือเป็นหลักและใช้แรงงานคนเพื่อให้ได้สินค้าที่สวยงาม แต่พอทางกลุ่มได้รู้จักกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธพว. หรือ SME D Bank ก็ได้เข้ามาสนับสนุนและส่งเสริมในเรื่องเงินทุนในการซื้อเครื่องมือ เช่น กี่ทอผ้า ซึ่งถูกนำมาดัดแปลงเป็นเครื่องทอหวายเพื่อให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ จากเครื่องดังกล่าว แต่ยังคงความเป็นงานจักสานเอาไว้ ซึ่งหลังจากมีเครื่องกี่ทอผ้าแล้วก็ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงแต่สามารถเพิ่มจำนวนสินค้าได้มากขึ้น
นอกจากนี้การทำธุรกิจจักสานที่ต้องสืบสานภูมิปัญญาชาวบ้านเอาไว้นั้นย่อมมีอุปสรรคคือขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ ประธานกลุ่มแก้ปัญหาด้วยการส่งต่อองค์ความรู้และฝึกสอนให้คนที่สนใจมาศึกษาเพื่อให้ได้แรงงานเพิ่มมากขึ้นเพราะงานจักสานต้องอาศัยฝีมือคนทำเป็นหลัก ซึ่งพอมีกี่ทอผ้าเข้ามาก็สามารถลดค่าแรงในส่วนนี้ได้ และสามารถผลิตสินค้าได้เร็วมากขึ้น ทั้งนี้สินค้าแต่ละชนิดมีอายุการใช้งานนานถึง 10 ปี เพราะทำจากหวายและไม้ไผ่ ทางกลุ่มได้มีการเคลือบเงากันความชื้น ทำให้งานจักสานแข็งแรง สามารถใช้งานได้ยาวนาน
จากที่กล่าวข้างต้นมีทั้งหน้าร้านออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงการออกบูธงาน OTOP ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ทางกลุ่มจะร่วมงาน OTOP ที่จัดขึ้นในทุกปี ปีละ 3 ครั้งที่เมืองทองธานี โดยในแต่ละครั้งสามารถสร้างยอดขายได้หลักแสนบาท ลดลงจากเมื่อก่อนเพราะพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากซื้อออฟไลน์เป็นออนไลน์มากขึ้น ทำให้ทางกลุ่มปรับมาขายออนไลน์เพิ่มขึ้น
สำหรับรายได้ที่ต้องกระจายให้กับสมาชิกนั้นประธานกลุ่มเปิดเผยว่า กำไร 100% นำเข้ากลุ่ม 20% ปันผล 10% และบริหารจัดการ 70% นอกจากนี้ทางกลุ่มได้มีการฝึกและให้ความรู้กับเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษา นักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับผลตอบที่ดี เด็กรุ่นใหม่มีความสนใจสร้างอาชีพและรายได้เสริมผ่านการทำสินค้าจักสาน
อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มบอกว่าได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสสนองนโยบายของรัฐบาลและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกับเป็นการโปรโมตสินค้าจักสานให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก และหันมาบริโภคสินค้าที่สืบสานภูมิปัญญาไทยกันมากขึ้น โดยในอนาคตทางกลุ่มมีการวางแผนต่อยอดธุรกิจให้เป็นไปในทิศทางของการพัฒนาลวดลายและประเภทสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และสามารถนำสินค้าไปใช้ควบคู่กับชุดไทยหรือชุดทำงานได้อย่างสวยงาม
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : วรรณวิเศษ
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *