xs
xsm
sm
md
lg

CAAT ลุยดันไทย Aviation Hub ผนึกทอท.ปั้น MRO"สุวรรณภูมิ"พร้อมฟรีโซนสต๊อกชิ้นส่วนอากาศยานครบวงจร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



กพท.เดินหน้าดันไทย Aviation Hub ผนึกทอท.ปั้น MRO"สุวรรณภูมิ"พร้อมฟรีโซนสต๊อกชิ้นส่วนอากาศยาน ยันไม่ทับซ้อน อู่ตะเภา เผยบริษัทต่างชาติหลายรายสนใจ พรัอมผุด Training Center ผลิต บุคลากรรองรับความต้องการอุตฯการบินทั้งระบบ

พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT เปิดเผยว่า จากที่คณะผู้ตรวจสอบ ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้เข้าตรวจสอบระบบการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยการบินพลเรือน ภายใต้โครงการ USOAP CMA (Universal Safety Oversight Audit Programme – Continuous Monitoring Approach) ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 ผลการตรวจสอบเบื้องต้น (Preliminary Results) ประเทศไทยได้รับคะแนนรวมเฉลี่ยที่ 87.17% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ในระดับ 70.50% และสูงกว่าคาดหมาย ขณะที่ปี 2562 หลังปลดธงแดงไทยแล้ว ได้คะแนนรวมที่ 61.60% ขณะที่หัวข้อที่ ICAO ตรวจสอบทั้ง 8 ด้านหลัก โดยด้านกฎหมายการบิน (LEG) และ องค์กรกำกับดูแล (ORG) ได้คะแนนเต็ม 100% ส่วนที่เหนือความคาดหมายคือ ด้านมาตรฐานการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์อากาศยาน (Aircraft Accident and Incident Investigation: AIG) ที่เดิมได้เพียง 40.51% แต่ล่าสุดคะแนนเพิ่มเป็น 61.73% ซึ่งเป็นผลมาจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันปรับปรุงและเตรียมพร้อมในการเข้ารับการตรวจสอบครั้งนี้

โดยหลังจากนี้คณะผู้พิจารณาของ ICAO จะพิจารณาข้อมูลการตรวจสอบประมาณ 45 วัน จากนั้นจะแจ้งผลให้ กพท.ทราบ หากว่ามีหัวข้อใดที่เป็นข้อกังวล และยังมีเวลาสามารถอุทธรณ์ได้โดยคาดว่าจะมีแจ้งผลอย่างเป็นทางการช่วงเดือนธ.ค.2568

และผลคะแนนของประเทศไทยครั้งนี้ ยังสะท้อนไปถึงผลการตรวจสอบของสำนักงานบริหารองค์กรการบินแห่งสหรัฐอเมริกา ( FAA) ก่อนหน้านี้ที่ยกระดับไทยขึ้นสู่ Category 1 (CAT 1) ตอกย้ำมาตรฐานด้านการกำกับดูแลด้นการบินของประเทศไทย

นายขจรพันธ์ มากลิ่น รองผู้อำนวยการสายงานกำกับมาตรฐานความปลอดภัย กพท.กล่าวว่า การเข้ารับการตรวจ ภายใต้โครงการ USOAP CMA ของประเทศไทย และผลที่ออกมา เพื่อให้ประเทศสมาชิก ICAO ทั่วโลกรับทราบว่าประเทศไทยมีมาตรฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งวันนี้ถือว่า มาตรฐานประเทศไทยสูงมากเมื่อเทียบกับช่วงที่ติดธงแดง เป็นสิ่งที่พิสูจน์และให้มั่นใจว่าประเทศไทยนอกจากโครงสร้างพื้นฐานแล้วยังมีความพร้อมในด้านกำกับดูแลในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน ของภูมิภาคและของโลก (Aviation Hub)

สำหรับสมาชิก ICAO ทั่วโลกมีประมาณ 193 ประเทศ โดย ICAO จะทำการตรวจเฉลี่ย 12-20 ประเทศ ปีขณะที่ผละแนนของประเทศไทยที่สูง แสดงถึงการบริหารจัดการได้ดี คาดว่า ทาง ICAO อาจจะเว้นระยะในการตรวจประเทศนานพอสมควร ขณะที่ประเทศไทยก็จะต้องมีการรักษามาตรฐานไว้ด้วย

พลอากาศเอก มนัท กล่าวว่า นอกจากการกำกับดูแลและการปฎิบัติการของทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้มาตรฐานแล้ว การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค หรือ Aviation Hub นั้นยังมีอีกหลายองค์ประกอบ ทั้งในด้านปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสาร คาดว่าในปี 2568 จำนวนผู้โดยสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2567 รวมถึงต้องพยายามเพิ่มในส่วนของผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่อง (Transit) ซึ่งปัจจุบันมีไม่ถึง 5% จากผู้โดยสารทั้งหมด


@ปั้น MRO -Training Center สุวรรณภูมิ ดันไทยสู่ Aviation Hub

นอกจากนี้ กพท.ได้หารือร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) หรือ ทอท. ซึ่งอยู่่ระหว่าง ทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่จะสรุปในเดือนต.ค. 68 โดยมีแนวทางการพัฒนา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็น Aviation Hub ซึ่งนอกจากจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ รันเวย์เส้นที่ 4 แล้ว จะมีการทำ MRO ในพื้นที่ด้วย โดยโครงการระยะแรก จะอยู่บริเวณด้านเหนือของสนามบินสุวรรณภูมิ คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นภายในปีนี้

“หลังจาก องค์การบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ FAA ประกาศประเทศไทยยกระดับขึ้น CAT-1 ทำให้มีบริษัทต่างชาติ ทั้งจาก สหรัฐอเมริกา ยุโรป ตะวันออกลาง สนใจที่จะเข้ามาลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ในประเทศไทย ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์”

ส่วน ในพื้นที่แปลงศรีวารีน้อย จำนวน 723 ไร่ของสนามบินสุวรรณภูมิ จะมีการพัฒนาพื้นที่สำหรับ คลังสินค้า และฟรีโซน ซึ่งจะส่วนของฟรีโซน ทางแอร์บัสและโบอิ้ง ได้ตอบรับที่จะเข้าร่วมในโครงการ โดยจะเป็นการนำอะไหล่เครื่องบินเข้ามาสต๊อกในเขตฟรีโซนนี้ ให้สามารถนำไปใช้ได้เมื่อต้องการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดระยะเวลารอ อะไหล่และซ่อมแซมเครื่องบินได้รวดเร็วขึ้นซึ่งเป็นอีกจุดที่จะจูงใจให้สายการบินต่างๆ มาใช้สนามบินสุวรรณภูมิมากขึ้น

นอกจากนี้จะมีศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบิน หรือ Training Center ทั้งนักบิน ลูกเรือ ช่างซ่อมอากาศยาน เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นตามอุตสาหกรรมการบินที่มีแนวโน้มขยายตัว

“ส่วนของ MRO ที่สุวรรณภูมิ เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด จะเป็นการซ่อมบำรุงในรูปแบบการตรวจเช็ค และการซ่อมบำรุงตามวงรอบ หรือ MR จึงจะไม่ทับซ้อนกับ MRO อู่ตะเภา จะเป็นรูปแบบของการซ่อมบำรุงใหญ่ หรือ Overhaul เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดืยากจะเป็นการซ่อมบำรุงในรูปแบบการตรวจเช็ค และการซ่อมบำรุงตามวงรอบ หรือ MR เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด"

MRO อู่ตะเภา จะเป็นรูปแบบของการซ่อมบำรุงหนัก หรือ Overhaul ขณะที่สุวรรณภูมิ จะเป็นการซ่อมบำรุงในรูปแบบการตรวจเช็ค และการซ่อมบำรุงตามวงรอบ เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดกว่าอู่ตะเภา
กำลังโหลดความคิดเห็น