ตำรวจนครบาลรวบแล้ว 2 ตัวบงการสำคัญของแก๊งปล้นเงิน 3.4 ล้านบาท จากผู้ก่อเหตุทั้งหมด 5 ราย ที่ก่อเหตุอุกอาจกลางลานจอดรถห้างดังย่านลาดพร้าว! แฉแผนชั่ว "นัดดื่มกาแฟเตรียมวางยา" ก่อนส่งต่อเพื่อนร่วมแก๊งใช้มีดจี้ชิงทรัพย์กลางห้าง แม้จะจับได้บางส่วน แต่คดีปล้นเงินคริปโตฯ สะท้านเมืองครั้งนี้ ยังทิ้งปมคาใจ
จากกรณีสุดอุกอาจที่กลุ่มคนร้าย 5 คน ใช้อาวุธปืนและมีดปล้นเงินสดจำนวน 3.4 ล้านบาทจากผู้เสียหาย ซึ่งตั้งใจนำมาซื้อขายเงินสกุลคริปโตเคอร์เรนซี USDT จำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา สร้างความตื่นตระหนกและคำถามใหญ่ต่อความปลอดภัยในสังคม
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบก.สส.บช.น.) ได้นำกำลังเข้าจับกุมตัว "เอเย่นต์ใหญ่" ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของแผนการปล้นครั้งนี้ได้ 2 ราย! ได้แก่ นายเฌอพัชญ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ จ.3836/2568 และ น.ส.นานา ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ จ.3837/2568 ลงวันที่ 1 ก.ค.2568 โดยทั้งสองถูกตั้งข้อหาในความผิดฐาน "ปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป"
ตร.สอบหนัก ชี้เตรียมวางเปิดแผนปล้นลวงนัดร้านกาแฟ ก่อนปล่อยเพื่อนลงมือปล้นกลางลานจอด
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้งสองให้การที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการคลี่คลายคดี โดยเปิดเผยถึง "แผนประทุษกรรม" โดยมีการนัดหมายกับผู้เสียหายที่ร้านกาแฟ 'สตาร์บัคส์' ชั้น 2 ของห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านลาดพร้าวที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นแผนสร้างความไว้วางใจให้เหยื่อตายใจ
หลังจากนั้น ผู้ต้องหาทั้งสองคน ซึ่งคาดว่าเป็นตัวการหลักในการเจรจา ก็ได้ทำทีปลีกตัวออกไปจากจุดนัดพบในร้านกาแฟเพื่อยืนยันตัวเป้าหมายชัดเจนแล้วจึงเปิดทางให้ "กลุ่มเพื่อนร่วมขบวนการ" ที่วางแผนรออยู่ ลงมือปล้น ด้วยการใช้อาวุธมีดจี้คอผู้เสียหายกลางลานจอดรถของห้าง
พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. เปิดเผยว้า ได้สั่งการให้เร่งติดตามล่าตัวคนร้ายที่เหลืออีก 5 คน ที่ร่วมก่อเหตุ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบตัวบุคคลทั้งหมดแล้ว และจะดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่อง
บทเรียนชีวิตนักเทรดคริปโต ฯ ชี้ความเสี่ยงไม่ได้อยู่แค่ในตลาด แต่แฝงอยู่รอบตัว
ทั้งนี้ คดีนี้ไม่เพียงแต่เน้นย้ำถึง "ความไม่ปลอดภัย" ของการทำธุรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีด้วยเงินสดจำนวนมากนอกแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นถึง "ความกล้าบ้าบิ่น" ของกลุ่มอาชญากรที่เลือกก่อเหตุในที่สาธารณะอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย การที่เอเย่นต์ซื้อขายคริปโตฯ ซึ่งน่าจะเป็นผู้สร้างความน่าเชื่อถือ กลับกลายเป็นตัวบงการการปล้นเอง ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับเต็มตัว สั่นคลอนอย่างรุนแรง ซึ่งนี่คือการตอกย้ำว่า "นักลงทุนคริปโตฯ" จะต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนเงินสดจำนวนมาก การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับใบอนุญาตและมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด อาจเป็นทางเลือกเดียวที่จะปกป้องทรัพย์สินจากภัยคุกคามที่ไม่ได้มีแค่ "ความผันผวนของราคา" แต่ยังรวมถึง "เงื้อมมือของมิจฉาชีพ" ที่จ้องจะฉกฉวยโอกาสอยู่ตลอดเวลา