การตลาด – เจาะกลยุทธ์ “ศรีจันทร์” สร้างแบรนด์แบบ “Purposeful Brand” สู่เป้าหมายเป็นแบรนด์ไทยระดับสากล มั่นใจศักยภาพ “T-beauty” ( Thai Beauty) เผยโอกาสรุกตลาดอาเซียนและเอเชีย ตั้งเป้าสัดส่วนการขายตลาดต่างประเทศเป็น 10-15% ใน 3 ปี รับ “รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลงของ T-beauty”
บริษัท ศรีจันทร์ สหโอสถ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “ศรีจันทร์ (SRICHAND)” แบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามสัญชาติไทยที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 76 ปี และ “ศศิ (sasi)” สรุป 4 ความสำเร็จของธุรกิจตลอดปี พ.ศ.2564 – 2567 ( ค.ศ.2021-ค.ศ.2024) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจนล่าสุดทำรายได้ 1,600 ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ไทยอันดับ 1 ในตลาดสกินแคร์ เผยกลยุทธ์การสร้างแบรนด์แบบ “Purposeful Brand”
ที่มีเป้าหมายในการเป็นแบรนด์ไทยระดับสากลที่เป็นความภูมิใจของคนไทย ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่กลยุทธ์การนำเสนอภาพลักษณ์แบบ Modern Classic Thainess การใช้พรีเซ็นเตอร์ การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร ฯลฯ
พร้อมย้ำความเชื่อมั่นต่อ T-beauty ที่ทั้งไทยและต่างประเทศยอมรับ แม้กระทั่งญี่ปุ่นยังอิน “สุวาอิ เมคุ” เทรนด์การแต่งหน้าแบบไทย และเผยโอกาสในการรุกตลาดอาเซียนและเอเชีย ตั้งเป้าเติบโตในสัดส่วนการขายตลาดต่างประเทศเป็น 10-15% ใน 3 ปี
รับ “รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลงของ T-beauty”
นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด กล่าวว่า “บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ในช่วงปี พ.ศ. 2564 – 2567 ( ค.ศ. 2021-2024) แม้จะเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องจากโควิด-19 แต่บริษัทสามารถปรับตัวรับความท้าทาย และพลิกเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโต จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทำให้บริษัทสามารถมียอดขายรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2566 และเติบโตต่อเนื่องแบบ2 หลักตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 – 2567
โดยเฉพาะเมื่อดูจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ของทั้งสองแบรนด์หลักอย่างศรีจันทร์ และ ศศิ ซึ่งอยู่ที่ระดับสูงถึง 51% และ 53% ต่อปีตามลำดับ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 – 2567 สะท้อนการเติบโตของบริษัทที่มาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
*** เปิด 4 ความสำเร็จของ ศรีจันทร์
สรุป 4 ความสำเร็จของบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ในปี พ.ศ. 2564 – 2568
1. ความแข็งแกร่งของศรีจันทร์ที่ไม่ได้มีดีแค่ “แป้ง” แต่แข็งแกร่งในทุกประเภทผลิตภัณฑ์
1.1 การเติบโตรายประเภทผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เมคอัพ (11%) สกินแคร์ (148%) ครีมกันแดด (73%)
1.2 หมวดเมคอัพ สินค้าที่ขายดีที่สุดคือ แป้งฝุ่นโปร่งแสง Bare to Perfect Translucent Powder (10 g) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มแป้งฝุ่น (Loose Powder) ในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566
ถึงเมษายน 2568 อ้างอิงจากข้อมูล NielsenIQ ประเทศไทย
1.3 ศรีจันทร์เข้าสู่ตลาดสกินแคร์ตั้งแต่ปี 2021 และในปี 2024 บริษัทสามารถมีการเติบโตถึง 117% ในหมวดสกินแคร์เมื่อเทียบกับปี 2023 และตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขาย 45% ในปี 2025
1.4 หมวดสกินแคร์ สินค้าที่ขายดีที่สุดคือ SRICHAND Skin Moisture Burst Gel Cream Sachet (10 ml) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้า (Moisturizer for Face) ในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ถึงเมษายน 2568 อ้างอิงจากข้อมูล NielsenIQ ประเทศไทย
1.5 ศรีจันทร์เป็นแบรนด์ไทยอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้า (Moisturizer for Face) ในประเทศไทย ระหว่างเดือนมกราคม 2567 ถึงเมษายน 2568 โดยมีอัตราการเติบโต 79% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่เติบโต 3.44% อ้างอิงจากรายงาน NielsenIQ ประเทศไทย ปี 2568
2. การออกแบรนด์ “ศศิ” ที่จับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่
2.1 ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2017 เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและแฟชั่น และ เป็นตัวแทนความฝันและความหวังของคนรุ่นใหม่
2.2 Positioning ของแบรนด์ ศศิ คือ “The most value for money yet trendy beauty & lifestyle brand” แบรนด์ความงามและไลฟ์สไตล์ที่คุ้มค่าและทันสมัย
2.3หัวใจสำคัญของ ศศิ คือการออกแบบสินค้าโดยเข้าใจความต้องการของวัยรุ่นเช่น Kiss & Blush Multifunction Cosmetics ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย ชิ้นเดียวใช้ได้ทั้งตา แก้ม ปาก และ Acne Sol Collection ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นในการแก้ไขปัญหาเรื่องสิว รวมไปถึงการใช้สีที่โดดเด่นในกลุ่มเมคอัพ
2.4 ศศิ มีการเติบโต CAGR มากกว่า 50% ต่อปี ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2564-2567
3. ยอดขายรวมของบริษัท ศรีจันทร์ สหโอสถ จำกัด มีการเติบโตระดับ Double Digit ทุกปี และแตะระดับ 1,000 ล้านบาทได้สำเร็จ
ยอดขายปี 2564 คือ 520 ล้านบาท
ยอดขายปี 2565 คือ 717 ล้านบาท ( เติบโต42.02%)
ยอดขายปี 2566คือ 1,019 ล้านบาท (เติบโต41.92%)
ยอดขายปี 2567 คือ 1,600 ล้านบาท ( เติบโต 58.98%)
ตั้งเป้ายอดขายปี 2568 เติบโตมากกว่า 30% - 40%
รายได้รวมมาจากช่องทางการจำหน่ายแบบออฟไลน์ 90% และออนไลน์ 10%
4. การขยายตลาดสู่ระดับนานาชาติ สัญญาณที่ดีจากตลาดลาวและญี่ปุ่น
แบรนด์ศรีจันทร์มีการขยายสู่ตลาดลาว โดยมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปี ตั้งแต่ ปี 2564 – 2567 อยู่ที่ 112.5% ต่อปี สินค้าที่ได้รับความนิยมอยู่ในหมวดสกินแคร์ เช่น Moisture Burst Series, Sunscreen แป้งฝุ่นและรองพื้น สร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านการสนับสนุนกิจกรรมระดับประเทศ เช่น สนับสนุนการประกวด Miss Universe Laos ในปี 2566 - 2567 การจัดงานและสนับสนุน Laos Fashion Week 2024 ฯลฯ และมีการใช้ Local Brand Presenter คือ “Nethdao” อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของลาว
นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณตลาดที่ดีในตลาดญี่ปุ่นอีกด้วย ปัจจุบัน ศรีจันทร์มีการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มแป้งในตลาดญี่ปุ่นผ่านช่องทางออฟไลน์มากกว่า 2,000 ร้านค้าทั่วประเทศ นอกจากนั้น ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของศรีจันทร์ ทำให้ BANDAI บริษัทผลิตของเล่นจากประเทศญี่ปุ่นขอซื้อลิขสิทธิ์ของตัวแป้ง เพื่อนำไปทำเป็นกาชาปอง โดยเลือกจากแป้งที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นทั้ง 6 แบบ
*** “ศรีจันทร์” เป็น Purposeful Brand ที่มีเป้าหมายคือความภูมิใจของคนไทย
เบื้องหลังความสำเร็จที่เกิดขึ้นตลอดปี 2564-2568 มาจากการที่ศรีจันทร์เป็น Purposeful Brand ที่มีเป้าหมายต้องการจะเป็นแบรนด์ไทยระดับสากลที่เป็นความภูมิใจของคนไทยจากการใส่ใจผู้บริโภค เป้าหมายดังกล่าวจึงเชื่อมโยงไปสู่ 4 กลยุทธ์คือ
1. รักษาเอกลักษณ์ Modern Classic Thainess ของแบรนด์ไว้ด้วยความภูมิใจ
ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ศรีจันทร์รักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ในแบรนด์มาตลอดตั้งแต่ชื่อแบรนด์ที่ไม่เคยเปลี่ยน นับจากยุครีแบรนดิ้งที่เรานำเสนอความเป็นไทยที่ทันสมัยกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและแนวทางที่ศรีจันทร์รักษาเอกลักษณ์มาตลอด แม้กระทั่งการใส่คำว่า “SRICHAND BANGKOK 1948” ระบุเมืองและปีต้นกำเนิดลงในผลิตภัณฑ์เพื่อเน้นความสำคัญของรากฐานความเป็นไทยที่เป็นความภูมิใจของแบรนด์มาตลอด และต้องการสื่อสารให้ผู้บริโภครู้สึกภูมิใจกับความเป็นแบรนด์ไทยไปด้วย วิธีคิดยังสืบทอดไปถึงแบรนด์ sasi เช่นกัน
2. การคัดเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นตัวแทนความเป็นไทยร่วมสมัย
กลยุทธ์ในการเลือกพรีเซ็นเตอร์ของศรีจันทร์และ ศศิ คือ มองหาตัวแทนคนไทยที่มีความร่วมสมัยทั้งความคิด ความสามารถ และภาพลักษณ์ เข้าถึงง่าย ทำให้คนรู้สึกภูมิใจในความเป็นคนไทย
ปัจจุบัน พรีเซ็นเตอร์ของศรีจันทร์ ได้แก่ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ (Base Makeup) โบว์ เมลดา สุศรี (Sunscreen) แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล (SRICHAND IN-SKIN) และพรีเซ็นเตอร์ของ sasi ได้แก่ เก้า-สุภัสสรา ธนชาต (Face of sasi- Lipstick & Eyebrow) และ PROXIE (Face of sasi- Loose Powder & Foundation)
3. พัฒนาคุณภาพสินค้า ให้มีมาตรฐานเทียบเคียงระดับสากล
ผ่านการลงทุนด้านคุณภาพ และ R&D เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน เรื่องคุณภาพให้เป็นไปตามข้อกำหนดของบริษัท การพัฒนาสูตรต่างๆ มีการใช้ข้อมูล Market trend, Research ต่างๆประกอบรวมกัน และคัดเลือก Active Ingredients
ที่มีความโดดเด่นเรื่อง Technology และการทดสอบผลต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์จะดีและให้ผลเป็นไปตามที่ Claim ไว้ได้
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์โดดเด่นคือ
1. Skincare : เลือกใช้ Glyceryl Glucoside (GG) ซึ่งเป็นสารให้ความชุ่มชื้น Gen ใหม่ ร่วมกับสารให้ความชุ่มชื้นที่เป็นที่รู้จักดีอย่าง Sodium Hyaluronate กับ CICA ใน Skin Moisture Burst Series
2. Base Makeup : Hybrid Foundation ที่มีส่วนผสมของ Skincare Active Ingredients มากถึง 86% ของ Skin Booster Series ที่เทียบเท่าแบรนด์ชั้นนำระดับโลก
4. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดึงดูดคนที่เชื่อแบบเดียวกันได้
บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด มีกลยุทธ์ในการสร้างวัฒนธรรมในการทำงานที่มุ่งเน้น “Resilience” เพื่อให้พนักงานพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถดึงศักยภาพสูงสุดมาใช้ได้ โดยมี 4 แกนที่สำคัญคือ Outcome ผลลัพธ์ตรงตามเป้าหมาย Accountability ความรับผิดชอบต่องานที่ทำอย่างเต็มที่ และช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ Adaptability ปรับตัวและพร้อมเรียนรู้เรื่องใหม่ และ Speed คิดแล้วลงมือทำ ผิดพลาดรีบแก้ไข
นอกจากนั้น บริษัทยังให้ความสำคัญกับสวัสดิการที่ให้คุณค่าความเท่าเทียมและการพัฒนาศักยภาพ เช่น ลาคลอดโดยได้รับค่าจ้าง (สูงสุด 6 เดือน) ลาดูแลภรรยาที่ตั้งครรภ์หรือคลอดบุตร (สูงสุด 1 เดือน) ลาผ่าตัดแปลงเพศ (สูงสุด 1 เดือน) ลาพักใจ กรณีสูญเสียบุคคลในครอบครัว 10 วันต่อปี ลาปฏิบัติธรรมหรือศาสนกิจ ฯลฯ
การให้ความสำคัญกับพนักงานทำให้บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ได้รับการยอมรับในฐานะองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วย จากการได้รับคะแนนอันดับที่ 1 จาก 55 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยปี 2025 โดย QMAC : QGEN Thailand Most Attractive Companies 2025 ฯลฯ
** T-Beauty (Thai Beauty) โอกาสสู่ตลาดต่างประเทศ
นายรวิศ กล่าวว่า “ในฐานะที่บริษัทฯ คร่ำหวอดอยู่ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามของไทยมากว่า 76 ปี ทำให้เราจับตาดูกระแสความงามที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเพื่อนำมาพัฒนาแบรนด์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจุบันกระแส T-Beauty หรือ Thai Beauty ได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งส่งผ่านไปทางละคร ซีรีส์ เพลง ฯลฯ ทำให้ผลิตภัณฑ์ความงามของไทยได้รับความนิยมไปด้วย ทั้งการบริโภคในประเทศเอง หรือชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ก็มาซื้อผลิตภัณฑ์ความงามของไทยกลับไปด้วย ไปจนถึงความนิยมต่อแบรนด์ไทยในต่างประเทศ เห็นได้จากสัญญาณที่ดีจากยอดขายของศรีจันทร์ในตลาดลาว บวกกับประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตเป็นอย่างดี ทำให้เรามีความเชื่อมั่นว่า T-beauty มีศักยภาพมากพอที่จะเป็น Soft power ที่แข็งแรงของประเทศไทยได้”
ศักยภาพของ T-beauty สะท้อนจากความนิยมแบรนด์ไทย เช่น
1. ความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ไทยมีมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคไทย สะท้อนจากการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์ความงามของไทยที่มีการเติบโตต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการเติบโตของศรีจันทร์ที่มียอดขายปี 2024 ถึง 1,600 ล้านบาท เติบโตขึ้น 58.98% จากปีก่อน
2. ในประเทศญี่ปุ่น มีเทรนด์ “สุวาอิ เมคุ” ซึ่งหมายถึงการแต่งหน้าแบบไทย ผิวใช้รองพื้นแบบกึ่งแมตต์ ปัดขนคิ้วให้ตั้งขึ้นเล็กน้อย โชว์ขนคิ้วที่เรียงตัวเป็นธรรมชาติ ตาใช้อายแชโดว์โทนธรรมชาติ กรีดอายไลน์เนอร์และปัดขนตาล่างให้ยาว ปากใช้ลิปสติกเนื้อเซมิแมตต์ และปัดแก้มเป็นวงรี โดยใช้สีที่ดูสุขภาพดี
3. Made in Thailand คือคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง โดยเฉพาะจากมุมมองของตลาดในอาเซียน หรือ เอเชีย ที่มองว่าสินค้าแบรนด์ไทย มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน อีกทั้งมีราคาเข้าถึงได้
เมื่อ T-Beauty แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในระดับโลก ศรีจันทร์จึงต่อยอดความสำเร็จนี้ให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจด้วยการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์ระดับภูมิภาค โดยเป้าหมายหลักคือ ตลาดอาเซียน และตลาดเอเชีย
โดยกลยุทธ์ในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ คือ เน้นในการหาคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อเป็น Distributor ในแต่ละตลาด โดยจะมุ่งเน้นไปยังบริษัทท้องถิ่นที่มีศักยภาพในการขายและทำการตลาดทั้ง Offline และ Online นอกเหนือจากการสร้างยอดขายและการขยาย distribution แล้ว ทางบริษัทยังคงให้ความสำคัญในการสร้างแบรนด์และการรับรู้ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและนิยมในภูมิภาคเอเชีย โดยตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนเป็น 10-15% ภายในเวลา 3 ปี
จากศักยภาพของบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ที่มีรากฐานที่แข็งแรง บวกกับการยอมรับ T-beauty ในระดับสากลที่เพิ่มมากขึ้น และถือเป็น Soft power ที่สำคัญของประเทศไทย นี่จึงเป็นรุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลงของ T-Beauty และศรีจันทร์
จะใช้โอกาสนี้ในการต่อยอดธุรกิจในตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อนำความเป็นไทยแบบ Modern Classic Thainess ไปสู่ต่างประเทศผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพของศรีจันทร์ ซึ่งสุดท้ายจะกลับมาตอบเป้าหมายการเป็น Purposeful brand ที่อยากจะเป็นแบรนด์ไทยระดับสากลที่เป็นความภูมิใจของคนไทย” นายรวิศกล่าว
ย้อนตำนานบทเก่า “ศรีจันทร์”
ห้างขายยาศรีจันทร์สหโอสถก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2491 โดยนายพงษ์ หาญอุตสาหะ ที่ขณะนั้นดำเนินธุรกิจขายยาได้มีการซื้อสูตรผงหอมจากหมอเหล็ง ศรีจันทร์ และเปลี่ยนชื่อร้านเป็น “ห้างขายยาศรีจันทร์สหโอสถ” โดยมีธุรกิจทางด้านเวชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และเครื่องสำอางเป็นหลัก
จนเวลาต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด” และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในยุคนั้น โดยมีผงหอมศรีจันทร์ หรือแป้งพอกหน้าคุมมันเป็นสินค้ายอดนิยมท่ามกลางกลุ่มลูกค้าชาวไทย อย่างไรก็ตาม ความนิยมของผู้บริโภคได้ถดถอยไปตามกาลเวลา ผงหอมศรีจันทร์กล่องสีเหลืองฟ้าอันคุ้นตากลายเป็นเพียงที่รู้จักของคนรุ่นเก่า
กระทั่งในปี พ.ศ. 2549 รวิศ หาญอุตสาหะ ทายาทรุ่นที่ 3 ได้เข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัวและเริ่มการพลิกฟื้นองค์กรครั้งใหญ่ ด้วยเจตนารมณ์ที่อยากเห็นธุรกิจเก่าแก่ของครอบครัวเติบโตและเป็นที่รู้จักในระดับสากล สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
ณ ขณะนั้นที่มีแนวโน้มในการเติบโตเพิ่มขึ้นทั่วโลก
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขององค์กรเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2557 จากผงหอมศรีจันทร์ที่มีประวัติอันยาวนานกว่า 76 ปี ได้รีแบรนด์เป็น“แบรนด์ศรีจันทร์” โดยการพัฒนาสูตรให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพเทียบเท่าเครื่องสำอางระดับโลก การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์องค์กร รวมถึงรีแบรนด์บรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย และการทำการตลาดในช่องทางใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษากลุ่มลูกค้าเดิมไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ “ศรีจันทร์” กลับมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในตลาดอีกครั้ง แม้จะผ่านมากว่า 76 ปี ทุกวันนี้ชื่อของศรีจันทร์ สามารถกลับมาครองใจผู้บริโภคได้ ด้วยรูปลักษณ์อันทันสมัย พร้อมคุณภาพระดับสากล แต่ยังมุ่งเน้นพัฒนาสินค้า