ศึกระหว่างเสียวหมี่กับหัวเว่ยลุกลามจากสมาร์ทโฟนสู่อีวี ขณะที่ทั้งคู่กำลังชิงไหวชิงพริบกันอย่างเข้มข้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วแต่แข่งขันสูงมาก
การปะทะคารมครั้งล่าสุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อริชาร์ด หยู กรรมการบริหารและประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์ของหัวเว่ย เปรยในงาน 2025 Future Automotive Pioneer Conference เมื่อวันเสาร์ (31 พ.ค.) ในทำนองว่า รถยนต์ไฟฟ้าของเสียวหมี่คุณภาพต่ำกว่าหลายแบรนด์ที่หัวเว่ยสนับสนุน และไม่คู่ควรกวาดยอดขายมากมายขนาดนั้น
ร้อนถึงผู้บริหารเสียวหมี่ต้องออกมาตอบโต้ และทำให้เรื่องราวความขัดแย้งนี้ติดเทรนด์ในโซเชียลมีเดียจีนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
“อย่างที่พวกคุณรู้ บริษัทหนึ่งจากอีกอุตสาหกรรมลุกขึ้นมาผลิตรถและทำยอดขายถล่มทลาย ทั้งที่ผลิตภัณฑ์ไม่ได้ดีขนาดนั้น”
หยูไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แต่ค่อนข้างชัดเจนว่า จะเป็นบริษัทใดไปไม่ได้นอกจากเสียวหมี่ และเหน็บแนมเป็นเชิงว่า อีวีของเสียวหมี่อ่อนชั้นทั้งด้านคุณภาพและความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติ แต่ที่ประสบความสำเร็จได้เพราะเก่งเรื่องการตลาดและมีแบรนด์แข็งแกร่ง
เขายังบอกว่า ผลิตภัณฑ์หัวเว่ยดีกว่าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ ประสบการณ์ของผู้ใช้ หรือศักยภาพ “แต่เรากลับทำยอดขายได้ไม่ถึงเศษเสี้ยวของพวกเขา โลกทุกวันนี้เป็นแบบนี้เอง”
คืนวันเสาร์ หลู เหว่ยปิง หุ้นส่วนและประธานเสียวหมี่ ตอบโต้บนเวยป๋อว่า หยูกำลังหมิ่นประมาทเสียวหมี่
“ไม่ว่าจะเป็นความนิยมใน SU7 หรือความสนใจหรือความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นที่มีต่อ YU7 เมื่อเทียบกับ SU7 ทั้งหมดนี้ล้วนอิงกับศักยภาพการแข่งขันที่แข็งแกร่ง
“ความสำเร็จของอีวีของเสียวหมี่คือความสำเร็จของค่านิยม โมเดลธุรกิจ และวิธีการของเสียวหมี่”
เขายังยกถ้อยคำของโม่ เหยียน นักเขียนจีนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 2012 มาอ้างอิงในโพสต์ว่า “การใส่ร้ายป้ายสีคือการชื่นชมรูปแบบหนึ่ง”
เหลย จุน ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และซีอีโอเสียวหมี่ หยิบยืมถ้อยคำของโม่มาอ้างอิงในโพสต์เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะลบทิ้งในเวลาต่อมาเหลือไว้เพียงส่วนที่กล่าวถึงยอดจัดส่งอีวีเดือนพฤษภาคมของบริษัท
ทั้งนี้ หัวเว่ยและเสียวหมี่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่น่าจับตามากที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์จีน แม้ทั้งคู่มีแนวทางต่างกันก็ตาม
หัวเว่ยเริ่มต้นธุรกิจด้วยการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์โทรคมนาคม ก่อนเข้าสู่ตลาดสมาร์ทโฟนในยุคต้นๆ ของแอนดรอยด์
ส่วนเสียวหมี่แจ้งเกิดจากการพัฒนาแอนดรอยด์สกินแบบปรับแต่งเอง และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทสมาร์ทโฟนใหญ่ที่สุดของโลกอย่างรวดเร็ว
ในยุคสมาร์ทโฟน ทั้งสองบริษัทฟาดฟันกันมาตลอด และวันนี้ความขัดแย้งได้ลามมาสู่ธุรกิจยานยนต์
หัวเว่ยนั้นไม่ได้ผลิตรถโดยตรง แต่เป็นหุ้นส่วนกับค่ายรถยักษ์ใหญ่หลายแห่งภายใต้กลยุทธ์ HIMA (Harmony Intelligent Mobility Alliance) ที่มีเป้าหมายในการสร้างแบรนด์รถ
กลยุทธ์ HIMA ครอบคลุมรถ 5 แบรนด์ ได้แก่ Aito จากเซเลส กรุ๊ป, Luxeed จากเชอรี่, Stelato จาก BAIC Group, Maextro จากอันฮุย เจียงหวย ออโตโมบิล กรุ๊ป (JAC) และ Shangjie จาก SAIC Motor
แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์ แต่ปกติแล้วรถรุ่นใหม่จากแบรนด์เหล่านี้มักเปิดตัวโดยหัวเว่ย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจำกัดความการผลิต การออกแบบ และการขาย
ทางด้านเสียวหมี่ลงสนามรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2021 และเผยโฉม SU7 อีวีรุ่นแรกอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2024
SU7 ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นหนึ่งในอีวีไม่กี่รุ่นในจีนที่ยังคงได้รับความนิยมแม้เปิดตัวมากว่าปีแล้วก็ตาม
เสียวหมี่ อีวีกวาดยอดขายกว่า 28,000 คันในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันที่ยอดขายรายเดือนทะลุ 20,000 คัน
วันที่ 22 พ.ค. เสียวหมี่เผยโฉมอีวีรุ่นที่ 2 เป็นเอสยูวีไฟฟ้า YU7 โดยมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม