xs
xsm
sm
md
lg

SCGC ชิงตลาดดันยอดขาย Q2 พุ่ง ชี้สงครามการค้ากระทบปิโตรเคมี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“เอสซีจี เคมิคอลส์” ลั่นไตรมาส 2/68 ยอดขายพุ่งทั้งปริมาณการขายผลิตภัณฑ์และมาร์จิ้น จากไตรมาส 1/68 มีรายได้ 5 หมื่นล้านบาท และขาดทุน 2.9 พันล้านบาท เหตุโหมบุกชิงตลาดในต่างประเทศ จับตาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนอย่างใกล้ชิด ชี้มีผลกระทบต่อตลาดปิโตรเคมี

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (SCGC) เปิดเผยว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2568 SCGC มียอดขายปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/2568 ทั้งในแง่ปริมาณการขายเป็นจำนวนตันและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบแนฟทา (สเปรด) ที่สูงขึ้น หลังจากบริษัทได้ช่วงชิงทำการขายในตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ทำกำไรสูงสุด แต่ย่อมดีกว่าโรงงานไม่ได้เดินเครื่องจักร

ในไตรมาส 1/2568 SCGC มีรายได้จากการขาย 50,177 ล้านบาท ดีขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 45,376 ล้านบาท มี EBITDA อยู่ที่ 2,579 ล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อนที่มี EBITDA 1,288 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 2,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1,866 ล้านบาท


“ในไตรมาส 1/2568 กลุ่มปิโตรเคมีในไทยของ SCGC พออยู่ได้ และมีกระแสเงินสด หรือ EBITDA ดีกว่าไตรมาส 4/2567 แม้ว่าสเปรดจะใกล้เคียงกัน เนื่องจากเราขายสินค้า (HVA) ได้ราคามากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI ลดต้นทุนวัตถุดิบและเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) และ เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร ดังนั้นแม้ว่าบริษัทจะอยู่ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด แต่เราก็เอาอยู่ มองว่าบริษัทมาถูกทางแล้ว”

สถานการณ์ปิโตรเคมีในปี 2568 จีนจะมีกำลังการผลิตปิโตรเคมีใหม่ทั้ง PP และ PE ออกสู่ตลาดอีกราว 20 ล้านตันต่อปี มากกว่าปีก่อนกดดันให้ตลาดยิ่งโอเวอร์ซัปพลาย ดังนั้น SCGC วางแผนการดำเนินธุรกิจที่จะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ขณะเดียวกันภายใต้สเปรดปิโตรเคมีที่ต่ำเพียง 320 เหรียญสหรัฐ/ตันช่วงปลายปีที่แล้ว เชื่อว่าไม่มีโรงงานใดอยู่ได้ ดังนั้น เมื่อมีโรงงานใหม่เปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ขึ้น ก็จะมีโรงงานเดิมที่มีต้นทุนสูงต้องปิดตัวไป เช่นเดียวกับ SCGC ตัดสินใจหยุดการผลิตโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ที่เวียดนามเป็นการชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม ปี 2567 หลังจากเปิดเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ได้เพียง 1 เดือน เพราะยิ่งผลิตยิ่งขาดทุน


นายศักดิ์ชัยกล่าวถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยจีนประกาศการขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ราคาวัตถุดิบคือแนฟทา ปรับตัวลงมาด้วย ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้สเปรดดีดตัวขึ้นจาก 320 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ 420 เหรียญสหรัฐ/ตัน หากสเปรดสามารถยืนในระดับนี้ได้นานก็ทำให้โครงการLSP กลับมาเดินเครื่องผลิตได้อีกครั้ง

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังส่อแววชะลอตัวลง หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ 90 วัน ซึ่งจีนต้องนำเข้าวัตถุดิบปิโตรเคมีทั้งอีเทนและโพรเพนจากสหรัฐฯ หากมีการเก็บอัตราภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการปิโตรเคมีของจีน ทำให้ซัปพลายใหม่หายไปจากตลาด ดังนั้นบริษัทต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด


"ปัจจุบันตลาดปิโตรเคมีอยู่ในภาวะทรงตัว เห็นได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (สเปรด) ที่ค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2568 โดยสถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ส่งผลบวกในช่วงสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ผลิตหลายรายมีการปรับลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากมีต้นทุนสูง ซึ่งสเปรดไม่ลดต่ำกว่าเดิม คาดว่าวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงต่ำสุดแล้ว"

นอกจากนี้ SCGC ขยายธุรกิจใหม่เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและขยายฐานลูกค้าให้มากยิ่งขึ้นในธุรกิจ “Industrial Service Solutions” โดยนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลเครื่องจักรต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ พัฒนาโซลูชัน “DRS by REPCO NEX” (DRS : Digital Reliability Service Solutions) เพื่อให้บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก


สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว SCGC มีแผนนำเข้าวัตถุดิบก๊าซอีเทนจากสหรัฐฯ จำนวน 1 ล้านตันต่อปีมาป้อนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการก่อสร้างทำถังเก็บอีเทนคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีปลายปี 2570

ส่วนแผนการนำ SCGC เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายที่จะขายหุ้น IPO ยอง SCGC เนื่องจากภาพรวมตลาดปิโตรเคมีไม่ดี โครงการ LSP หยุดการผลิตชั่วคราว และภาวะตลาดหุ้น จึงไม่ใช่จังหวะที่ดีในการเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น