xs
xsm
sm
md
lg

ถอดบทเรียนไฟดับยุโรป กับ ความมั่นคงทางพลังงานไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



เหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในยุโรปที่สำนักข่าว Reuters รายงานถึงความผันผวนฉับพลันของกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งลดลงอย่างรวดเร็วจาก 18 กิกะวัตต์ เหลือเพียง 8 กิกะวัตต์ ภายในเวลา 5 นาที ได้ฉายภาพให้เห็นถึงความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนที่ไม่แน่นอนมีมากขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ปริมาณพลังงานที่หายไป แต่ยังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม เช่น ที่ความถี่ในระบบลดลงจาก 50 เฮิรตซ์ เหลือ 49.85 เฮิรตซ์ จนอาจนำไปสู่การตัดอุปกรณ์ต่างๆ ออกจากระบบเพื่อป้องกันความเสียหาย

ปราถีกชา รามดาส นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Rystad Energy ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า สาเหตุหลักของไฟฟ้าดับไม่ได้มาจากการมีพลังงานลมและแสงอาทิตย์ในปริมาณมากโดยตรง แต่เป็นความท้าทายในการจัดการความผันผวนที่เพิ่มขึ้นของแหล่งพลังงานเหล่านี้ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลงทุนในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์สำหรับโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบ

บทเรียนจากยุโรปครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับประเทศไทย ซึ่งกำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายพลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้ว่าปัจจุบันไทยจะมีความมั่นคงทางพลังงานสูง โดยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นหลักและมีระบบสำรองไฟฟ้าที่เพียงพอ แต่การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในอนาคตย่อมนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ ที่ต้องวางแผนรับมืออย่างรอบคอบ


ทำไมยังมี "โรงไฟฟ้ามั่นคง" จำเป็นในยุคพลังงานหมุนเวียน?
แม้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม จะมีต้นทุนการผลิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ข้อจำกัดด้านความไม่แน่นอนในการผลิตยังคงเป็นประเด็นสำคัญ เหตุการณ์ในยุโรปสะท้อนให้เห็นว่า หากไม่มีโรงไฟฟ้าพลังงานหลักที่สามารถจ่ายพลังงานได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว (เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่) ระบบไฟฟ้าอาจเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

การมองพลังงานหมุนเวียนเพียงแค่เรื่อง "ราคาถูก" อาจไม่เพียงพอ เพราะต้นทุนที่ซ่อนอยู่คือความจำเป็นในการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับความผันผวนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System - ESS) การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น หรือการเตรียมพร้อมระบบควบคุมและบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

เมื่อ "พลังงานสะอาด" เยอะขึ้น "Reserve Margin" ก็ต้องมากขึ้น
การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมักนำไปสู่การมีกำลังผลิตรวม (Installed Capacity) ที่สูงขึ้น และอาจต้องมีอัตราสำรองไฟฟ้า (Reserve Margin) ที่มากขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้มั่นใจว่ามีกำลังผลิตเพียงพอรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในทุกสถานการณ์ แม้ในช่วงที่แหล่งพลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มที่

แน่นอนว่าการมีกำลังผลิตรวมที่สูงขึ้น รวมถึงค่าบริหารจัดการระบบที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียน ไม่ได้หมายความว่าต้นทุนค่าไฟฟ้าต่อหน่วยจะต้องสูงขึ้นเสมอไป หากมีการวางแผนสัดส่วนของแหล่งพลังงานต่างๆ อย่างเหมาะสม ผสานรวมข้อดีของพลังงานหมุนเวียนที่มีต้นทุนการผลิตต่ำในช่วงเวลาที่เหมาะสม กับความมั่นคงของโรงไฟฟ้าหลัก และระบบกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถรักษาสมดุลระหว่างต้นทุน ความมั่นคง และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้

เขื่อน: พลังงานหมุนเวียนมั่นคง ราคาถูก ที่ถูกมองข้าม?
ในบริบทของพลังงานหมุนเวียน เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำเป็นแหล่งพลังงานที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง มีความมั่นคงสูง และมีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำ หลายประเทศที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพลังงานน้ำอย่างเต็มที่

บทเรียนถึงประเทศไทย: อย่าประมาท "ความไม่แน่นอน"
แม้ระบบไฟฟ้าของไทยในปัจจุบันจะมีความมั่นคงสูง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ย่อมต้องเผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่ยุโรปกำลังประสบอยู่ การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวนสูงโดยไม่มีการวางแผนและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับอย่างเพียงพอ อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานได้

เหตุการณ์ไฟดับในยุโรปยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนพลังงานและลดผลกระทบจากความผันผวนในภูมิภาคได้ ข้อจำกัดในการเชื่อมต่อของคาบสมุทรไอบีเรียกับส่วนอื่นๆ ของยุโรปเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้รุนแรงขึ้น 


ก้าวต่อไปของไทย: วางแผนรอบคอบ ลงทุนอย่างชาญฉลาด
ประเทศไทยจึงควรนำบทเรียนจากยุโรปมาพิจารณาอย่างจริงจังในการวางแผนพัฒนาระบบพลังงานในอนาคต การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนต้องมาพร้อมกับการลงทุนใน:
• ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS): เพื่อเก็บสำรองพลังงานในช่วงที่ผลิตได้มาก และจ่ายคืนในช่วงที่ผลิตได้น้อย
• โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid): เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการระบบ และรองรับการเชื่อมต่อของแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่หลากหลาย
• โรงไฟฟ้าหลักที่มีความมั่นคง: เพื่อเป็นฐานกำลังผลิตที่เชื่อถือได้ในช่วงที่พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตได้เต็มที่
• การพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยี: เพื่อให้สามารถบริหารจัดการระบบพลังงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างพลังงานหมุนเวียนและพลังงานหลักที่มีความมั่นคง ควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของไทยในยุคที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน


กำลังโหลดความคิดเห็น