การขยายตัวของจำนวนประชากรในมหานครขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว นับเป็นเทรนด์การอยู่อาศัยที่มีแนวโน้มขยายตัวตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และยังมีทิศทางของการขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต
การหลั่งไหลของประชากรเข้าสู่เมืองใหญ่ ซึ่งมีทั้งแหล่งงานรองรับ และสิ่งอำนวยความสะดวก ก่อให้เกิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และยังเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยหลักในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ใจกลางเมือง และ เขตเศรษฐกิจ แหล่งช็อปปิ้งและไลฟสไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่
ความหนาแน่นของการอยู่อาศัยในเมืองใหญ่ส่งผลให้ความต้องการคอนโดเพิ่มสูงขึ้นในทุกปี ขณะที่ ที่ดินในเมือง ซึ่งมีจำนวนจำกัดมีราคาปรับตัวสูงขึ้น ทำให้คอนโดโครงการใหม่ ๆ มีราคาแพงขึ้น และเพื่อรองรับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่โตไม่ทันกับรายจ่าย และราคาสินค้า ทำให้ผู้พัฒนาโครงการคอนโด มีการปรับลดขนาดยูนิตให้เล็กลง ทำให้คอนโดในปัจจุบันมีพื้นที่อยู่อาศัยอย่างจำกัด และกลายเป็นปัญหาสำคัญของผู้อยู่อาศัยในคอนโด ซึ่งต้องการพื้นที่ใช้สอยเพื่อเก็บสิ่งของเครื่องใช้ และทรัพย์สิน ซึ่งนับวันมีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น
นายภักดี อนิวรรตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจบริการให้เช่าห้องเก็บของหรือทรัพย์สินส่วนตัว (Self-Storage)ภายใต้เครื่องหมายการค้า “i-Store”เปิดเผยว่า การขยายตัวของคอนโดมิเนียมเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ มีความหนาแน่นขึ้นทุกวัน แต่คอนโดใหม่ ๆ กลับมีพื้นที่ใช้สอยลดลง ขณะที่ความต้องการพื้นที่ในการอยู่อาศัยและจัดเก็บสิ่งของส่วนตัวกลับสวนทางกับพื้นที่คอนโดที่เล็กลงทุกวัน ทิศทางดังกล่าวทำให้ “i-Store” เล็งเห็นโอกาสในธุรกิจ บริการพื้นที่เก็บสิ่งของส่วนตัวหรือบริการรับฝากสิ่งของ
“เพราะในขณะที่ผู้บริโภคทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อซื้อคอนโดราคาแพงๆ ในเมืองซึ่งมีราคาต่อตารางเมตรด้วยราคาหลักแสน แต่กลับได้ใช้สอยอย่างเต็มประโยชน์ เพราะต้องนำมาใช้ในเก็บสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เท่ากับเป็นการใช้งานที่ไม่คุ้มค่าเงิน และใช้ประโยชน์พื้นที่ไม่คุ้มค่า” นายภักดี กล่าว
จากความต้องการพื้นที่เก็บของส่วนตัวและทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น ทำให้“i-Store”มองเห็นโอกาสในการนำเสนอsales storage service ซึ่งเป็นเมกะเทร์นดได้รับความนิยมอย่างมากในมหานครและเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก ร่วมถึงกรุงเทพฯ เองซึ่งมีแนวโน้มเดียวกับมหานครขนาดใหญ่ โดยi-storeได้เริ่มต้นธุรกิจ บริการห้องเก็บของส่วนตัวและทรัพย์สินในปี 2560 และได้มีการขยายสาขาให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับดีมานด์พื้นที่จัดเก็บสิ่งของและทรัพย์สินส่วนบุคคลและองค์กรต่าง ๆ ซึ่งนับวันจะขยายตัวมากขึ้น
โดย i-Store Self Storageได้นำบริการห้องเก็บของส่วนตัวและเก็บทรัพย์สิน เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งลูกค้าบุคคล และองค์กร ซึ่งมีพื้นที่ให้เช่าเก็ยของ เริ่มต้นตั้งแต่ขนาด 0.5 ตารางเมตร ไปจนถึง25 ตารางเมตร และ “i-Store”ยังได้นำเสนอห้องเก็บของอุณหภูมิปกติ และห้องเก็บของควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งเหมาะสำหรับจัดเก็บสิ่งของ และทรัพย์สินที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิ เช่น ไวน์ เข้ามาให้บริการด้วย โดยสัญญาบริการเริ่มต้นที่1 เดือนขึ้นไป ลูกค้าสามารถนำสิ่งของหรือทรัพย์สินเข้าจัดเก็บด้วยตนเองและสามารถเข้าออกพื้นที่เก็บของได้ตลอด
24 ชั่วโมง
สำหรับลูกค้าหลักของi-storeแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าคนไทย 50% และ ลูกค้าชาวต่างชาติ 50% โดยในส่วนของกลุ่มลูกค้าคนไทยนั้น มีทั้งกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กร ซึ่งมีสัดส่วน 70-80% และ ลูกค้าบุคคล ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 20 - 30% ส่วนกลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็น กลุ่มคนทำงานที่ย้ายไปทำงานในพื้นที่ต่าง ๆ ตามเมืองใหญ่และแหล่งธุรกิจทั่วโลก โดยกลุ่มลูกค้า กลุ่มนี้จะคุ้นเคยกับการฝากสิ่งของกับผู้ให้บริการsales storage serviceเพราะมีความสะดวกในการเคลื่อนย้ายและใช้งานมากกว่าการจัดเก็บไว้ในพื้นที่ที่เป็นที่พักของตัวเองเนื่องจากพื้นที่ที่พักมีขนาดพื้นที่จำกัด
โดยตลอด 8 เวลาปีที่ผ่านมาi-storeมีการลงทุน เปิดสาขาให้บริการรวม10 สาขาซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง หรือ CBD ประกอบด้วย 1.สาขาสีลม, 2.สาขาสุขุมวิท24, 3.สาขาสุขุมวิท71, 4.สาขาสุขุมวิท9 ซอยทองหล่อ, 5.สาขาหัวลำโพง, 6.สาขาอ่อนนุช, 7.สาขาเพลินจิต, 8.สาขานานา, 9.สาขาหมอชิต, 10.สาขาสาทร โดยทั้ง
10 สาขา มีพื้นที่ให้บริการรวม 9,500 ตารางเมตร (ตร.ม.) โดย 5 ใน 10 สาขาที่มีการเปิดให้บริการในปัจจุบัน เป็นการเปิดสาขาใหม่ในปี 2567 ถึง 5 สาขา
“สำหรับสาขาที่เปิดใหม่ในปี 2567 ซึ่งมีด้วยกัน 5 สาขานั้นเป็นการลงทุนเองส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเป็นการร่วมทุน
โดยการลงทุนนั้นมีทั้งรูปแบบการเช่าอาคารนำมาปรับปรุงแล้วติดตั้งระบบการจัดเก็บของ i-Store เข้าไป อีกส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนก่อสร้างอาคารขึ้นมาใหม่พร้อมติดตั้งระบบ ให้บริการลูกค้า”
นายภักดี กล่าวว่า ในส่วนของ สาขาที่มีการร่วมทุนi-storeจะเข้าไปลงทุนในสัดส่วนตั้งแต่25 -40% เช่น สาขาสุขุมวิท
ซึ่งเป็นการร่วมทุน บริษัท เอสซีเอส จำกัด บริษัทในเครือ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น โดยi-store จะรับจ้างบริหารจัดการระบบฝากของทั้งหมดซึ่งจะได้ค่าตอบแทนเป็นค่าจ้างบริหารจัดการ 12 -16% นอกจากรูปแบบการลงทุนแบบร่วมทุนแล้วi-storeเป็นคอนเซ้าท์ให้กับ เจ้าของอาคารหรือเจ้าของที่ดินที่ต้องการนำที่ดินหรืออาคารที่ไม่ได้ใช้ ประโยชน์มาเปิดให้บริการ ห้องฝากของและทรัพย์สิน โดยi-storeจะเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบและวางระบบจัดเก็บรวมถึง ออกแบบห้องเก็บของให้กับผู้ลงทุน และในท้ายที่สุดขั้นตอนของการให้บริการi-storeจะรับหน้าที่ในการบริหารงาน รับฝากสิ่งของทั้งหมดโดยรับ ค่าบริหารจัดการอยู่ที่ 12-16%
“ในการขยายสาขาให้บริการและความต้องการพื้นที่ในการฝากของที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ ในปี2567 ที่ผ่านมาi-storeมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 150 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ21 ล้านบาท โดยในปี 2568 นี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เติบโตประมาณ 200% ซึ่งจะมาจากความต้องการใช้พื้นที่ในการฝากของเพิ่มขึ้น ประกอบกับการลงทุนขยายสาขาให้บริการใหม่ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้รายได้ของบริษัทขยายตัวตามไปด้วย”
นายภักดีกล่าวว่า สำหรับแผนการลงทุน ขยายสาขาใหม่ในปี2568 นี้i-storeมีแผนจะขยายสาขาใหม่เพิ่ม 3สาขาซึ่งใช้งบลงทุนประมาณ140 ล้านบาท โดยสาขาแรกที่มีการลงทุน คือ สาขาเอกมัย ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับผู้ถือหุ้นรายเดิมในการลงทุนก่อสร้างอาคารเก็บของ มีพื้นที่กว่า4,500 ตร.ม. นับเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดที่เปิดให้บริการมา ส่วนอีก 2สาขาที่จะเปิดตัวในปี2568 นี้คือสาขาสุรวงศ์และสาขา พระราม9 ซึ่งทั้ง2สาขานี้จะเป็นสาขาที่เจ้าของอาคารและเจ้าของที่ดินลงทุนเองทั้งหมดโดยi-storeจะรับหน้าที่บริหารจัดการระบบทั้งหมด ทั้งนี้ เมื่อรวม 3สาขาใหม่ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ จะทำให้i-storeมีสาขาที่เปิดให้บริการ13 สาขา และ มีพื้นที่ให้บริการกว่า 14,000 ตร.ม.
สำหรับ ตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ ผู้พักอาศัยในคอนโดหันมาให้ความสนใจในการใช้บริการพื้นที่ฝากสิ่งของและทรัพย์สินของi-storeเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันคือ ความต้องการ ซ่อมแซมและปรับปรุงห้องชุดในคอนโด ภายหลังจากได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เนื่องจากในการซ่อมแซมและปรับปรุงห้องชุดเจ้าของห้องชุดจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายสิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องออกไปจัดเก็บไว้ที่อื่น เพื่อให้ช่างสามารถเข้าทำการซ่อมแซมและปรับปรุงห้องได้สะดวก และยังไม่ต้องระมัดระวังในเรื่องของการสูญหายของสิ่งของหรือทรัพย์สินภายในหลัง
ทั้งนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราการใช้พื้นที่ห้องรับฝากของ i- storeมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราการใช้พื้นที่ในช่วง 2สัปดาห์หลังจากแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้นกว่า
10% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงต่อจากนี้จากความต้องการพื้นที่ ในการเคลื่อนย้ายและจัดเก็บของและทรัพย์สินเพื่อเปิดพื้นที่ในคอนโดให้ช่างได้เข้าซ่อมแซมและปรับปรุงห้องชุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวนอกจากนี้อีกหนึ่งตัวเร่งในการใช้บริการห้องฝากของคือธุรกิจอีคอมเมิร์ซซึ่งมีการขยายตัวอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดความต้องการพื้นที่เก็บสินค้าของผู้อยู่อาศัยในคอนโดย่านใจจกลางเมืองที่ประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
นายภักดี กล่าวต่อว่า แนวโน้มความต้องการใช้บริการห้องเก็บของส่วนตัวและเก็บทรัพย์สินมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม เมกะเทร์นด ซึ่งประกอบด้วย 1.เทรนของความต้องการใช้พื้นที่ในการจัดเก็บของทดแทนการใช้พื้นที่ในคอนโด
ในเมืองย่านซีบีดี ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด และมีราคาขายที่แพงขึ้น 2.เทรนของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีการขยายตัวอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาทำให้ความต้องการพื้นที่จัดเก็บสินค้าก่อนจัดส่งของผู้ค้าอีคอมเมิร์ซมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3.เทร์นดWork Anywhereโดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติที่นิยมทำงานในพื้นที่ต่างๆโดยไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศหรือมีออฟฟิศเป็นประจำโดยกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในลักษณะนี้จะกระจายตัวกันไปทำงานในพื้นที่ต่างๆในเมืองใหญ่ทั่วโลกซึ่งหนึ่งในเมืองสำคัญที่ได้รับความนิยมคือกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวที่ติดอันดับต้นต้นของโลกและมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาทำงานและท่องเที่ยวไปพร้อมพร้อมกันมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก