Key points
• บลจ.กสิกรไทยผู้นำด้านกองทุนที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนไทยเป็นอันดับ 1 ตั้งเป้า AUM แตะ 2 ล้านล้านบาทในปี 2570
• แนะจัดพอร์ตลงทุน Core & Satellite Portfolio ลงทุนหลากสินทรัพย์กระจายเสี่ยง
• ชูกองทุนผสมที่เกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก J.P. Morgan Asset Management อย่าง K-WealthPLUS Series ทั้ง K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE เป็น Core Portfolio เน้นทำกำไรระยะยาว 3-5 ปี
• เศรษฐกิจโลกผันผวน ตลาดเข้าสู่โหมดเฝ้าระวัง
• จับตานโยบายทรัมป์หุ้นสหรัฐฯ โดดเด่น ปัจจัยพื้นฐานดีนโยบายรัฐหนุน บลจ.กสิกรไทย ชู 3 กลยุทธ์มุ่งสู่การเป็น Trusted Asset Manager ผู้นำด้านกองทุนที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนไทยเป็นอันดับ 1 พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการด้านการลงทุนที่ดีที่สุดให้ลูกค้าและคู่ค้า โดยวางรากฐานทุกกระบวนการทำงานเพื่อสรรค์สร้างอนาคตการลงทุนอย่างยั่งยืน
นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า วิสัยทัศน์เพื่อมุ่งสู่การเป็น Trusted Asset Manager ในปีนี้ บริษัทต้องการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านกองทุนที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนไทยเป็นอันดับ 1 โดยสานต่อภารกิจจากปี 2567 ซึ่งบริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 1.61 ล้านล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1 ในส่วนของธุรกิจกองทุนรวมที่ 25% หรือประมาณ 1.19 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ในทุกช่องทางรวมได้เป็นจำนวนกว่า 500,000 ราย และมีจำนวนผู้ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้ง K PLUS และ K-My Funds คิดเป็นสัดส่วน 89% จากจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าที่สร้าง Core Portfolio เพิ่มขึ้นจาก 48,000 ราย เป็น 100,000 ราย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อ บลจ.กสิกรไทย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนรวม
ชู 3 กลยุทธ์ดัน AUM แตะ 2 ล้านล้านบาทในปี 2570
นายวิน กล่าวอีกว่าในปีนี้บริษัทเน้น 3 กลยุทธ์หลัก เพื่อขับเคลื่อนการเป็นที่ 1 ของบริษัทด้านธุรกิจกองทุน โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ให้แตะระดับ 2 ล้านล้านบาทภายใน 3 ปี (พ.ศ.2568-2570)
สำหรับกลยุทธ์หลัก 3 ด้านได้แก่ 1) Enhance Customer Experience ยกระดับประสบการณ์ด้านการลงทุนผ่านแนวทางการบริหารพอร์ตแบบ Core & Satellite Portfolio พร้อมอัปเดตสถานการณ์การลงทุน มีข้อมูลเชิงลึกให้ลูกค้า เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์ 2) Collaboration with Distributors & Partners เสริมแกร่งความร่วมมือผ่านธนาคารกสิกรไทย และตัวแทนผู้สนับสนุนการขาย เพื่อขยายฐานลูกค้า พร้อมผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกทั้ง J.P. Morgan Asset Management และ Lombard Odier เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ 3) Productivity Enhancement การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้ง AI และ Robotic Process Automation (RPA) มาปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
แนะจัดพอร์ตชู K-Wealth PLUS ฝ่าลงทุนผันผวนผลตอบแทนสม่ำเสมอ
นายวิน กล่าวอีกว่า จากสภาวะตลาดทั่วโลกที่ยังมีความผันผวน ผู้ลงทุนจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตการลงทุน และการกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว
สำหรับพอร์ตการลงทุนที่บริษัทแนะนำจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1: Core Portfolio เน้นลงทุนเสริมพอร์ตให้เติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยแนะนำกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE ในสัดส่วนประมาณ 70-80% ของพอร์ต ส่วนที่ 2: Satellite Portfolio เน้นลงทุนเพื่อโอกาสทำกำไรในระยะสั้น โดยแนะนำกองทุน K-GSELECT, K-USA, K-GTECH, K-VIETNAM, K-PROPI ในสัดส่วนประมาณ 20% ของพอร์ต และส่วนที่ 3: Liquidity เน้นลงทุนเสริมสภาพคล่อง เพื่อโอกาสทำกำไรที่ได้มากกว่าเงินฝาก ในขณะเดียวกันยังสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1-2 วันทำการ โดยแนะนำกองทุน K-SF, K-SFPLUS, K-FIXED, K-FIXEDPLUS ในสัดส่วนประมาณ 10% ของพอร์ต
“ในปีนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มแนวคิดการลงทุนแบบ Life Path นั่นคือ การจัดสรรสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายไปตามช่วงอายุ เพื่อให้มีส่วนเพิ่มความมั่งคั่งหลังเกษียณได้ ด้วย K-WealthPLUS Series ทั้ง 3 กองทุน ซึ่งจะมีความเสี่ยงจากน้อยไปหามากเพื่อสอดคล้องกับช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นและรับความเสี่ยงได้น้อยลง โดยแต่ละกองมีผลตอบแทนแตกต่างกันคือ 4% 6% และ 8% ตามลำดับความเสี่ยง ซึ่งแนวทางนี้บริษัทเตรียมขยายการแนะนำเพิ่มเติมให้แก่ลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคล”
เศรษฐกิจผันผวน ตลาดเข้าโหมดเฝ้าระวัง
นายวิน กล่าวอีกว่า บลจ.กสิกรไทย ประเมินสถานการณ์การลงทุนจากทั่วโลกยังคงมีความไม่แน่นอน โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกอิงจากสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงจากนโยบายรัฐบาลของทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดกลับมาอยู่ในโหมดเฝ้าระวัง อย่างไรก็ดี Fed มีแนวโน้มดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยมองว่ามีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5% ในช่วงกลางปี และอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี
หุ้นสหรัฐฯ โดดเด่นแม้ผันผวน
นายวิน กล่าวอีกว่า นโยบายของทรัมป์ที่น่าจับตาประกอบด้วย 1.มาตรการภาษีนิติบุคคลภายในประเทศและบุคคลธรรมที่จะส่งผลดีต่อภาคการบริโภคและการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น โดยน่าจะได้เม็ดเงินจากการทำนโยบายกำแพงภาษีเข้ามาชดเชย 2.ลดจำนวนแรงงานอพยพจะส่งผลให้ตลาดและการว่างงานของสหรัฐฯลดลงจนอาจไปถึงการเพิ่มค่าจ้างในระยะถัดไป 3.การลดบทบาทกับสหภาพยุโรปและนาโต และหันมามุ่งเศรษฐกิจในประเทศ
ทั้ง 3 เรื่องมีเป้าหมายในการกลับมาพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศ และจะทำให้ความผันผวนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในความผันผวนยังมีโอกาสถ้าเราสามารถจับสัญญาณที่ดี จะเป็นจังหวะที่เราสามารถเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมได้
ทั้งหมดเป็นผลกระทบที่อาจเกิดจากนโยบายของทรัมป์ ซึ่งหากมองปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะพบว่า กำไรของหุ้นสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมาเติบโตกว่าหุ้นโลก หรือเติบโตประมาณ 9% ส่วนปีนี้น่าจะเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 15% ซึ่งหุ้นสหรัฐฯ ยังคงโดดเด่นในปีนี้ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ แต่อาจปรับกลยุทธ์ลงทุนเปลี่ยนจากกลุ่ม 7 นางฟ้ากระจายไปยังหุ้นเติบโตอื่นแทนต่อจากนี้